23 ธันวาคม 2553

Steve Job

แรงบันดาลใจ จาก Steve Job
ผู้ก่อตั้ง Apple




เคยไหม ? กับความรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังในชีวิต ความรู้สึกที่ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่
เราพยายามเรียนไปเพื่ออะไร ความรู้ที่เราพยายามเรียนรู้และศึกษานั้นเราจะได้นำไปใช้ในอนาคตจริงๆเหรอ? จะเป็นการเสียเวลาเปล่ามั้ย? แล้วอนาคตเราจะเป็นอะไร?

วันก่อนได้มีโอกาสไปอ่านบทความ บทความหนึ่งจากเว็ปไซต์
อ่านแล้วประทับใจมากๆเลย ก็เลยอยากหยิบเอามาให้เพื่อนๆได้อ่านกันบทความนี้เป็นสุนทรพจน์ที่สร้างความประทับใจไปทั่วโลกของ Steve Jobs ผู้ก่อตั้ง Apple และผู้สร้าง Macintoch




โดยส่วนตัวนั้นชอบมากในบทเรียนแรกที่ Steve Job กล่าวถึงในเรื่องของ

 "การลากเส้นต่อจุด (Connecting Dot) " ที่บอกเป็นนัยๆว่า สิ่งที่เราทำทุกอย่างนั้นไม่มีสิ่งใดที่สูญเปล่าเพียงแต่เป็นการแต้มจุดต่างๆให้มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อรอที่สักวันหนึ่งมันจะมีเส้นตรงที่จะสามารถเชื่อมต่อจุดเหล่านั้นเข้าด้วยกันได้ทั้งหมด ขอเพียงแต่ให้เราทำในสิ่งที่เราชอบเท่านั้น

           สุนทรพจน์วันนั้น Jobs เพียงแต่เล่าถึงบทเรียนในชีวิตของเขา 3 บท แต่เป็น 3 บทที่ทำให้เขากลายเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของโลก

           บทเรียนบทแรกของ Jobs ซึ่งเขาเรียกมันว่า “การลากเส้นต่อจุด” เริ่มต้นด้วยการเล่าว่า
 ตัวเขาเองไม่เคยเรียนจบมหาวิทยาลัย เพราะได้ลาออกหลังจากเรียนในมหาวิทยาลัย Reed College ไปได้เพียง 6 เดือน ส่วนเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยนั้น Jobs กล่าวว่า

           มันเริ่มขึ้นตั้งแต่เขายังไม่เกิด แม่ที่แท้จริงของเขา ซึ่งเป็นนักศึกษาสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน ไม่ต้องการเลี้ยงดูเขา และตัดสินใจยกเขาให้เป็นบุตรบุญธรรมของคนอื่นตั้งแต่เขายังไม่ลืมตาดูโลก แต่เธอมีเงื่อนไขว่า พ่อแม่บุญธรรมของลูกของเธอจะต้องเรียนจบมหาวิทยาลัย Jobs เกือบจะได้เป็นลูกบุญธรรมของนักกฎหมายที่จบมหาวิทยาลัยและมีฐานะ ถ้าเพียงแต่พวกเขาจะไม่เปลี่ยนใจในนาทีสุดท้ายว่า พวกเขาไม่ต้องการเด็กผู้ชาย กว่า Jobs จะได้พ่อแม่บุญธรรม ซึ่งต่อมาเป็นผู้เลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่ ก็อีกหลายเดือนหลังจากเขาเกิด เนื่องจากแม่ที่แท้จริงของเขาเกิดจับได้ว่า ว่าที่พ่อแม่บุญธรรมของ Jobs ได้ปิดบังระดับการศึกษาที่แท้จริงซึ่งไม่ได้จบมหาวิทยาลัย และพ่อบุญธรรมของ Jobs ไม่ได้เรียนมัธยมด้วยซ้ำ แต่ต่อมาเธอก็ได้ยอมเซ็นยก Jobs ให้แก่พ่อแม่บุญธรรม เมื่อพวกเขารับปากว่าจะส่งเสียให้ Jobs ได้เรียนมหาวิทยาลัย

           17 ปีต่อมา Jobs ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยสมตามความต้องการของแม่ที่แท้จริง ผู้ไม่เคยเลี้ยงดูเขาแต่กลับต้องการกำหนดชะตาชีวิตของลูกที่ตนไม่เคยเลี้ยงดู เพียง 6 เดือนในมหาวิทยาลัย Jobs ใช้เงินเก็บที่พ่อแม่บุญธรรมซึ่งเป็นเพียงชนชั้นแรงงานได้สะสมมาตลอดชีวิต หมดไปกับค่าเล่าเรียนที่แสนแพง Jobs ตัดสินใจลาออก เพราะเขามองไม่เห็นคุณค่าของการเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งไม่สามารถช่วยให้เขาคิดได้ว่า เขาต้องการจะทำอะไรในชีวิต

แม้ว่าตอนนี้เมื่อมองกลับไปเขาจะรู้สึกว่า การตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของเขา เพราะการลาออกทำให้เขาไม่ต้องฝืนเข้าเรียนในวิชาปกติที่บังคับเรียนซึ่งเขาไม่เคยชอบหรือสนใจ แต่สามารถเข้าเรียนในวิชาที่เขาเห็นว่าน่าสนใจได้

แต่เขาก็ยอมรับว่า นั่นเป็นชีวิตที่ยากลำบาก เมื่อเขาไม่ได้เป็นนักศึกษาจึงไม่มีห้องพักในหอพัก และต้องนอนกับพื้นในห้องของเพื่อน ต้องเก็บขวดโค้กที่ทิ้งแล้วไปแลกเงินมัดจำขวดเพียงขวดละ 5 เซ็นต์ เพื่อนำเงินนั้นไปซื้ออาหาร และต้องเดินไกล 7 ไมล์ทุกคืนวันอาทิตย์ เพื่อไปกินอาหารดีๆ สัปดาห์ละหนึ่งมื้อที่วัด Hare Krishna

อย่างไรก็ตาม เขาชอบที่หลังจากลาออก เขาสามารถที่จะไปเข้าเรียนวิชาใดก็ได้ที่สนใจ และวิชาทั้งหลายที่เขาได้เรียนในช่วงนั้น ซึ่งเขาใช้เวลาทั้งหมด 18 เดือน โดยเลือกเรียนตามแต่ความสนใจและสัญชาตญาณของเขาจะพาไป ได้กลายมาเป็นความรู้ที่หาค่ามิได้ให้แก่ชีวิตของเขาในเวลาต่อมา และหนึ่งในนั้นคือ วิชา ศิลปะการประดิษฐ์และออกแบบตัวอักษร (calligraphy)

Jobs ยอมรับว่า ในตอนนั้นเขาเองก็ยังมองไม่ออกเช่นกันว่า จะนำความรู้ที่ได้จากวิชานี้ไปใช้ประโยชน์อะไรได้ในอนาคตของเขา แต่ 10 ปีหลังจากนั้น เมื่อเขากับเพื่อนช่วยกันออกแบบเครื่องคอมพิวเตอร์ Macintosh เครื่องแรก วิชานี้ได้กลับมาเป็นประโยชน์ต่อเขาอย่างไม่เคยนึกฝันมาก่อน และทำให้ Mac กลายเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรก ที่มีการออกแบบตัวอักษรและการจัดช่องไฟที่สวยงาม

ถ้าหากเขาไม่ลาออกจากมหาวิทยาลัย เขาก็คงจะไม่เคยเข้าไปนั่งเรียนวิชานี้ และ Mac ก็คงไม่อาจจะมีตัวอักษรแบบต่างๆ ที่หลากหลาย หรือ font ที่มีการเรียงพิมพ์ที่ได้สัดส่วนสวยงาม รวมทั้งเครื่องพีซี ซึ่งใช้ Windows ที่ลอกแบบไปจาก Mac อีกต่อหนึ่งก็เช่นกัน คงจะไม่มีตัวอักษรสวยๆ ใช้อย่างที่มีอยู่ในตอนนี้
อย่างไรก็ตาม Jobs บอกว่า ในเวลาที่เขาตัดสินใจลาออกนั้น เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสามารถ “ลากเส้นต่อจุด” หรือหยั่งรู้อนาคตได้ว่า วิชาออกแบบและประดิษฐ์ตัวอักษร (คอลิกราฟฟี่) จะกลายเป็นความรู้ที่มีประโยชน์ในการออกแบบ Mac เขาเพียงสามารถจะลากเส้นต่อจุดระหว่างวิชาลิปิศิลป์กับการคิดค้นเครื่อง Mac ได้อย่างชัดเจน ก็ต่อเมื่อมองย้อนกลับไปข้างหลังเท่านั้น

ในเมื่อไม่มีใครที่จะลากเส้นต่อจุดไปในอนาคตได้ ดังนั้นคำแนะนำของ Jobs ก็คือ
คุณจะต้อง “ไว้ใจและเชื่อมั่น” ว่า จุดทั้งหลายที่คุณได้ผ่านมาในชีวิตคุณ มันจะหาทางลากเส้นต่อเข้าด้วยกันเองในอนาคต ซึ่งจะเป็นอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญา โชคชะตา ชีวิต หรือกฎแห่งกรรม ขอเพียงแต่คุณต้องมีศรัทธาในสิ่งนั้นอย่างแน่วแน่





           บทเรียนชีวิตบทที่สองที่ Jobs เล่าต่อไปคือ ความรักและการสูญเสีย

 Jobs อายุเพียง 20 ปี เมื่อเขาเริ่มก่อตั้ง Apple กับเพื่อนที่โรงรถของพ่อ เพียง 10 ปีให้หลัง Apple เติบโตจากคนเพียง 2 คนกลายเป็นบริษัทใหญ่โตที่มีมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์และพนักงานมากกว่า 4,000 คน
แต่หลังจากที่เขาเพิ่งเปิดตัว Macintosh ซึ่งเป็นประดิษฐกรรมสร้างสรรค์ที่ดีที่สุดของเขา ได้เพียงปีเดียว Jobs ก็ถูกไล่ออกจากบริษัทที่เขาเป็นผู้ก่อตั้งเองกับมือ เมื่ออายุเพียงแค่ 30 ปี หลังจากเขาทะเลาะถึงขั้นแตกหักกับนักบริหารมืออาชีพ ที่เขาเองเป็นผู้ว่าจ้างให้มาบริหาร Apple และกรรมการบริษัทกลับเข้าข้างผู้บริหารคนนั้น

ข่าวการถูกไล่ออกของเขาเป็นข่าวที่ใหญ่มาก และเช่นเดียวกัน มันเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตของเขา Jobs กล่าวว่า เขาได้สูญเสียสิ่งที่เขาได้ทำมาตลอดชีวิตไปในพริบตา และเขารู้สึกเหมือนตัวเองพังทลาย เขาไม่รู้จะทำอะไรอยู่หลายเดือน และถึงกับคิดจะหนีออกจากวงการคอมพิวเตอร์ไปชั่วชีวิต

แต่ความรู้สึกอย่างหนึ่งกลับค่อยๆ สว่างขึ้นข้างในตัวเขา และเขาก็พบว่า เขายังคงรักในสิ่งที่เขาทำมาแล้ว ความล้มเหลวที่ Apple มิอาจเปลี่ยนแปลงความรักที่เขามีต่อสิ่งที่ได้ทำมาแล้วแม้เพียงน้อยนิด เขาจึงตัดสินใจที่จะเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด ซึ่งต่อมาเขาพบว่า การถูกอัปเปหิจาก Apple กลับกลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของเขา เพราะความหนักอึ้งของการประสบความสำเร็จได้ถูกแทนที่ด้วยความเบาสบายของการเป็นมือใหม่อีกครั้ง และช่วยปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ จนสามารถเข้าสู่ช่วงเวลาที่สร้างสรรค์ที่สุดในชีวิตของเขา

ช่วง 5 ปีหลังจากนั้น Jobs ได้เริ่มตั้งบริษัทใหม่ชื่อ NeXT และ Pixar และพบรักกับ Laurence ซึ่งต่อมาเป็นภรรยาของเขา Pixar ได้สร้างภาพยนตร์การ์ตูนจากคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องแรกของโลกนั่นคือ Toy Story และขณะนี้เป็นสตูดิโอผลิตการ์ตูนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก

ส่วน Apple กลับมาซื้อ NeXT ซึ่งทำให้ Jobs ได้กลับคืนสู่ Apple อีกครั้ง และเทคโนโลยีที่เขาได้คิดค้นขึ้นที่ NeXT ได้กลายมาเป็นหัวใจของยุคฟื้นฟูของ Apple

Jobs กล่าวว่า ความล้มเหลวเป็นยาขมแต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนไข้ เมื่อชีวิตเล่นตลกกับคุณ จงอย่าสูญเสียความเชื่อมั่นในสิ่งที่คุณรัก Jobs เชื่อว่า สิ่งเดียวที่ทำให้เขาลุกขึ้นได้ในครั้งนั้น คือเขารักในสิ่งที่เขาทำ ดังนั้นคุณจะต้องหาสิ่งที่คุณรักให้เจอ เพราะวิธีเดียวที่จะทำให้คุณเกิดความพึงพอใจอย่างแท้จริง คือการได้ทำในสิ่งที่คุณเชื่อว่ามันยอดเยี่ยม และวิธีเดียวที่คุณจะทำให้คุณสามารถทำสิ่งที่ยอดเยี่ยมได้ก็คือ คุณจะต้องรักในสิ่งที่คุณทำ และถ้าหากคุณยังหามันไม่พบ อย่าหยุดหาจนกว่าจะพบ และคุณจะรู้ได้เองเมื่อคุณได้ค้นพบสิ่งที่คุณรักแล้ว




 

ส่วนบทเรียนชีวิตบทสุดท้ายในโอวาทของเขาคือ ความตาย

       เมื่ออายุ 17 ปี Jobs ประทับใจในข้อความหนึ่งที่เขาได้อ่านมา ซึ่งเสนอแนวคิดให้คนมีชีวิตอยู่โดยคิดว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต และตลอด 33 ปีที่ผ่านมา Jobs จะถามตัวเองในกระจกทุกเช้าว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิตของเขา เขาจะยังคงต้องการทำสิ่งที่เขากำลังจะทำในวันนี้หรือไม่ ถ้าหากคำตอบเป็น “ไม่” ติดๆ กันหลายวัน เขาก็รู้ว่า ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องเปลี่ยนแปลง

Jobs กล่าวว่า วิธีคิดว่าคนเราอาจจะตายวันตายพรุ่ง เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดเท่าที่เขาเคยรู้จักมา ซึ่งได้ช่วยให้เขาสามารถตัดสินใจครั้งใหญ่ๆ ในชีวิตได้ เพราะเมื่อความตายมาอยู่ตรงหน้า แทบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังของคนอื่น ชื่อเสียงเกียรติยศ ความกลัวที่จะต้องอับอายขายหน้าหรือล้มเหลว จะหมดความหมายไปสิ้น เหลือไว้ก็แต่เพียงสิ่งที่มีคุณค่าความหมายและความสำคัญที่แท้จริงเท่านั้น
วิธีคิดเช่นนี้ยังเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่จะช่วยให้คุณไม่ตกลงไปในกับดักความคิดที่ว่า คุณมีอะไรที่จะต้องสูญเสีย เพราะความจริงแล้ว เราทุกคนล้วนมีแต่ตัวเปล่าๆ ด้วยกันทั้งนั้น

เมื่อหลายปีที่แล้ว เขาได้รับการตรวจวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งที่ตับอ่อนชนิดที่รักษาไม่ได้ และจะตายภายในเวลาไม่เกิน 3-6 เดือน แพทย์ถึงกับบอกให้เขากลับไปสั่งเสียครอบครัวซึ่งเท่ากับเตรียมตัวตาย

แต่แล้วในเย็นวันเดียวกัน เมื่อแพทย์ได้ใช้กล้องสอดเข้าไปตัดชิ้นเนื้อที่ตับอ่อนของเขาออกมาตรวจอย่างละเอียด ก็กลับพบว่า มะเร็งตับอ่อนที่เขาเป็นนั้นแม้จะเป็นชนิดที่พบได้ยากก็จริง แต่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้ด้วยการผ่าตัด และเขาก็ได้รับการผ่าตัดและหายดีแล้ว

นั่นเป็นการเข้าใกล้ความตายมากที่สุดเท่าที่ Jobs เคยเผชิญมา และทำให้ขณะนี้เขายิ่งสามารถพูดได้เต็มปาก เสียยิ่งกว่าเมื่อตอนที่เขาเพียงแต่ใช้ความตายมาเตือนตัวเองเป็นมรณานุสติว่า ไม่มีใครที่อยากตาย แม้แต่คนที่อยากขึ้นสวรรค์ก็ยังไม่อยากตายก่อนเพื่อจะไปสวรรค์ แต่ก็ไม่มีใครหลีกหนีความตายพ้น และเขาคิดว่า มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น Jobs เห็นว่า ความตายคือประดิษฐกรรมที่ดีที่สุดของ “ชีวิต” ความตายคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิต ความตายกวาดล้างสิ่งเก่าๆ ให้หมดไปเพื่อเปิดทางให้แก่สิ่งใหม่ๆ

ดังนั้น Jobs บอกว่า เวลาของคุณจึงมีจำกัด และอย่ายอมเสียเวลามีชีวิตอยู่ในชีวิตของคนอื่น จงอย่ามีชีวิตอยู่ด้วยผลจากความคิดของคนอื่น และอย่ายอมให้เสียงของคนอื่นๆ มากลบเสียงที่อยู่ภายในตัวของคุณ และที่สำคัญที่สุดคือ คุณจะต้องมีความกล้าที่จะก้าวไปตามที่หัวใจคุณปรารถนาและสัญชาตญาณของคุณจะพาไป เพราะหัวใจและสัญชาตญาณของคุณรู้ดีว่า คุณต้องการจะเป็นอะไร

Jobs ปิดท้ายสุนทรพจน์ของเขา ด้วยการหยิบยกวลีที่อยู่ใต้ภาพบนปกหลังของวารสารฉบับสุดท้ายของวารสารเล่มหนึ่งที่เลิกผลิตไปตั้งแต่เมื่อ 30 ปีก่อน ซึ่งเขาเปรียบวารสารดังกล่าวเป็น Google บนแผ่นกระดาษ และเป็นประดุจคัมภีร์ของคนรุ่นเขา วารสารดังกล่าวมีชื่อว่า The Whole Earth Catalog จัดทำโดย Stewart Brand ส่วนวลีนั้นคือ “จงหิวโหย จงโง่เขลาอยู่เสมอ” ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาหวังจะเป็นเช่นนั้นเสมอมา




ขอขอบคุณ
Fortune ฉบับเดือนกันยายน 2548


แปลและเรียบเรียงโดย เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์


16 ธันวาคม 2553

Paul Potts

Paul Potts Story
เขาเป็นแรงบันดาลใจให้คนทั้งโลก


When I first went on Britain’s Got Talent I was famous for my cheap suit, my wonky teeth and the fact that I sold mobile phones for a living. – Paul Potts




ถ้าคุณมีลำโพง Surround 5.1 เปิดเสียงให้กระหึ่ม แล้วคุณจำได้รับแรงบันดาลใจจาก Paul Potts เต็มที่

รายการ Britain’s got Talent คล้ายกับ American Idol และ The Star ของเมืองไทย ลองนึกภาพการ Audition ของเหล่าผู้สมัครทั้ง 4 ภาค  ถ้าใครทำได้ไม่ดีก็จะโดนโขกสับวิจารณ์อย่างเสียผู้เสียคน และอาจจะสูญเสียความมั่นใจไปเลย แต่บางคนก็กลับไปสู้ต่อ ฝึกต่อไปเพื่อจะไต่ให้ตัวเองไปถึงดวงดาว  แต่นั่นไม่ค่อยยุติธรรมนัก สำหรับเมืองไทย

ด้วยความที่มันต้องยึดกับการตลาด มันก็ต้องสร้างภาพ สร้างความนิยม ด้วยการเฟ้นหาคนหน้าตาดีมาไว้เป็นอันดับแรกๆ  (ถึงแม้จะมี สน เดอะสตาร์1 ที่ค่อนข้างจะเป็นเป็นตัวจริง) หลังจาก The Star1 ก็ไม่มีอะไรแบบนั้นแล้ว  อาจจะเป็นเพราะ ไม่สามารถโปรโมทรูปลักษณ์ของนักร้องได้  พวกเขาจึงเข็ดแล้วหาคนรูปลักษณ์ดีมาดีกว่า

สำหรับเมืองไทย  …ความสามารถเป็นเรื่องรอง หน้าตาต้องมาก่อน…

ในปี 2007 รายการ  Britain’s got Talent เป็น Season1 และ Episode1    
มีชายคนหนึ่งก้าวขึ้นมาบนเวที Audition ด้วยความประหม่าและไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง

เขาคือ Paul Potts

…จะหยุดพิมพ์ไว้แค่นี้ และให้คุณได้รับรู้มันเองจะดีกว่า  ดูเสร็จแล้วไปอ่านข้างล่าง

V
V
V


ในฟุตเทจตอนแรก ผู้บรรยายแนะนำว่าเขาคือ คนขายมือถือจาก South Wales และเห็น Potts เดินไปเดินมาอยู่หลังเวที ท่าทางตื่นเต้นมาก

“ทุกวัน ผมขายมือถือ… แต่… ความฝันของผมคือการได้ใช้ชีวิตที่เหลือ  ทำสิ่งที่ผมรู้สึกว่า  ผมเกิดมาเพื่อทำสิ่งนั้น” เขาพูดประโยคแรก ที่แนะนำตัวเขา ด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่มั่นใจ ผู้ชมก็คงฉงนว่า เขาคนนี้จะมาทำอะไรกันแน่

Paul Potts เดินขึ้นมาบนเวทีด้วยสูทเชยๆ ดูเป็นผู้ชายเงียบๆ ดูไม่มีอะไรน่าสนใจแถมฟันยังหลอ…
ต่อหน้า Simon Cowell, Piers Morgan และ Amanda Holden….
Amanda ถามเขาว่า “คุณPaul…วันนี้คุณจะมาทำอะไรเหรอค่ะ”

“แค่ร้องโอเปร่าครับ” พอลตอบ กล้องจับภาพไปที่กรรมการอีกคน ชื่อPiers Morgan เขาทำหน้าไม่เชื่อ หมอนี่เนี่ยนะร้องโอเปร่า กรรมการท่านนั้นคงคาดหวังจะได้เห็นความแย่ที่น้อยที่สุด แต่กลับกันที่ฟุทเตจต่อมา

“ผมคิดอยู่ตลอดมาว่า จะร้องเป็นอาชีพ” เป็นคำตอบที่สวนทางกับสีหน้ากรรมการ
“การมีความเชื่อมั่นในตัวเอง…เป็น…เป็นสิ่งที่ยากสำหรับผม… คือผมไม่ค่อยมีความเชื่อมั่นในตัวเองมากนัก…” เขาเป็นคนพูดตะกุกตะกักในแบบสำเนียงอังกฤษ

ทันใดนั้นกรรมการที่ชื่อ Simon Cowell(ที่เป็น Producer รายการด้วย) ก็ส่งสัญญาณว่าเริ่มได้  backstage กดปุ่ม play แล้วเสียงทำนองเพลงก็เริ่มบรรเลง…  Simon Cowell นั่งเท้าคางอย่างเซ็งๆ ทำหน้าเตรียมพร้อมรับกับความแย่ที่น้อยที่สุดเท่านั้น เพราะเขาไม่ต้องการอะไรจะดูที่น่าอับอาย  ส่วน Amanda Holden นั่งฟังด้วยความตั้งใจ ….ผู้ชมนั่งฟังอย่างสนุกสนาน บางคนทำตาถลนออกมาหมอนี่เนี่ยนะ…จะร้องโอเปร่า   ส่วนบางคนเอามือประสานเหมือนส่งแรงไปช่วย Paul Potts  บางคนกัดเล็บพร้อมทำสีหน้าคลางแคลงใจ…หมอนี่เนี่ยนะ    บางคนก็ยิ้มด้วยจุดประสงค์บางอย่าง  และแน่นอนว่าคนเกือบพันคนในสตูดิโอต้องคิดไม่ถึงแน่นอน




ว่าทันทีทันใดที่ Paul เปิดปากอ้าอย่างทรงพลัง เสียงของเขาดังก้อง สั่นไปทั้งสตูดิโอ Simon Cowell ที่กัดดินสออย่างเบื่อๆ ผงกหัวขึ้นมามองอย่างไม่เชื่อสายตา  Amanda Holden แอบยิ้มเล็กน้อยพลางเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่อาจยั้งไว้ได้

ภาพตัดไปที่ Paul ซึ่งกำลังร้องอยู่  ยืนตัวตรงกับสูทเชยๆ พยายามเปล่งเสียงอย่างชัดถ้อยชัดคำที่สุดในชีวิต ด้วยแรงของศรัทธาที่มีอยู่ในตัวเขาทั้งหมดในชีวิต  ทำให้ผู้ชมบางคนพยักหน้ารับรองสิ่งพิเศษนั้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม มีความสุขอย่างยิ่ง

เสียงเชียร์ของผู้ชมดังกระหึ่ม ขนของผู้ชมลุกกระหึ่ม Amanda Holden ยิ้มออกมาอย่างไม่เกรงใจใครทั้งสิ้น แทบกลั้นหายใจ ณ ขณะที่เสียงอันไพเราะไต่เพดานสูงขึ้นไปเรื่อยๆ  …Piers Morgan มอง Paul ด้วยสายตาที่ปลิ้มปิติซึ่งต่างจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง ส่วน Simon Cowell ที่แอบขนลุกอยู่ข้างใน แอบยิ้มอยู่ข้างใน พลางเกาหู ไม่เชื่อหูตัวเองว่ามันเป็นเสียงที่ออกมาจากคนขายมือถือที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง





กล้องซูมเข้าไปที่ Paul ซึ่งขับร้องด้วยพลังที่สูงขึ้นไปกว่าเดิม ผู้หญิงสูงวัยท่านหนึ่งเอามือปาดน้ำตาอย่างห้ามไม่ได้ ผู้คนที่นั่งอยู่รอบๆยิ้มออกมาแบบที่มีความสุขที่สุดในชีวิต   เสียงวี้ดวิ้วเสียงกรี๊ดคละด้วยเสียงตบมือดังกระหึ่มไม่หยุดยั้ง

ก่อนเข้าท่อนร้องท่อนสุดท้าย Paul ยืนขับร้องเหมือนกับนี่คือสิ่งสุดท้ายที่เขาจะทำบนโลก  Simon Cowell ไม่คิดจะกระพริบ อ้าปากค้างและแทบจะสลบสไลลงไปกองบนพื้น  …Amanda Holden ผสานมือด้วยสีหน้าอึ้งที่สุดในชีวิต  …Piers Morgan เก็บซ่อนความรู้สึกที่มีต่อความสวยงามในน้ำเสียงนั้น ทำให้น้ำตาคลอเบ้า อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในที่สุด Paul กลั่นท่อนสุดท้ายออกมาด้วยพลังอันมหาศาล เขาสั่นแทบจะระเบิดออกมา เพราะนี่คือสิ่งที่เขาคิดว่าจะแสดงให้ผู้คนบนโลกเห็นว่า เขาเกิดมาเพื่อร้องโอเปร่า เขาอยากจะทำสิ่งนี้ไปชั่วชีวิตนับจากตอนนี้ เวลานี้ วินาทีนี้ ในที่สุดมันก็ออกมา   …Amanda น้ำตาคลอและไม่สามารถเก็บซ่อนความปิติยินดี เธอสั่นและแทบขาดใจด้วยพลังเสียงของ Paul





ยังไม่สิ้นเสียงร้อง ผู้ชมทั้งหมดเกือบพันคนในสตูดิโอยืนขึ้นปรบมืออย่างกึกก้อง กรีดร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง เหมือนทะเลพินาศ ภาพตัดไปที่ Amanda ที่ต้องซับน้ำตาที่แม้จะกลั้นอย่างไรก็ไม่ไหว กรรมการทั้งสามท่านปรบมือไปพร้อมกับผู้ชมแล้วพยักหน้ายอมรับว่านี่คือความจริง ไม่ใช่ความฝัน กรรมการทั้งสามหันไปมองกันเองอย่างปราบปลื้ม ไม่เชื่อหูและตาตัวเอง หันกลับไปมองคนดูเกือบพันคนที่ยืนปรบมือให้กับเขาอย่างไม่ยอมหยุด …

Paul ที่ร้องจบแล้ว มีสีหน้าที่ไม่มีความมั่นใจแต่หารู้ไม่ว่าเขาทำให้สตูดิโอเกือบระเบิด  …เสียงเพลงยังไม่จบลง กรรมการทั้งสามท่านฉีกยิ้มกว้างอย่างมีความสุขที่สุดตั้งแต่เกิดมา ปรบมืออย่างชอบใจ
เพียงแค่ไม่ถึงสองนาที …ชีวิตเขาก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง สิ่งที่มันมาจากความปรารถนาที่อยากแสดงออกมา ด้วยความรักทั้งหมด ด้วยความฝันทั้งหมด แม้ก่อนหน้าเขาจะทำฝันไม่สำเร็จ ฐานะเขาฝืดเคือง แต่ปัจจุบันนี้ ณ จุดที่เขาเพิ่งร้องโอเปร่าจบลง ความฝันเขาเป็นจริงอย่างฉับพลัน…




Paul ยิ้มอย่างแหยๆ ตามฉบับคนขี้อาย นิ่งเงียบ… เสียงวี้ดวิวยังคงมีและค่อยๆหยุดไปหลังจากที่ Simon Cowell ที่เป็นกรรมการที่โหดที่สุด พูด “คุณทำงานที่่ร้านขายมือถือติดรถยนตร์เหรอ…” Paul ยิ้มรับในเชิงตลกเสียดสี “คุณทำได้ขนาดนี้…ผมแทบไม่เชื่อเลยนะเนี่ย” Simon กล่าว “ผมว่า คุณน่ะมหัศจรรย์สุดๆ” ผู้ชมกรี๊ดและปรบมืออย่างชอบใจ Paul ยังคงยิ้มไม่หยุด

Piers Morgan บอกว่า “เสียงคุณสุดยอดมาก ถ้าร้องได้อย่างนี้ต่อๆไป รับรองว่าชนะรายการนี้แน่” ผู้ชมกรี๊ดและโห่เฮ  ต่อมาเป็น Amanda ที่พูด “ฉันคิดว่า เคสนี้เหมือน ก้อนฟืนเล็กๆที่กำลังกลายเป็นเพชรเม็ดงาม” แล้วทั้งห้องก็ยังคงสนั่นไปด้วยเสียงผู้ชม เมื่อกรรมทั้งสามตัดสินให้เข้ารอบต่อไปได้ เขาเดินออกไปด้วยรอยยิ้ม และกรรมการทั้งสามยิ้มให้เขาอีกครั้งจนลับสายตาไป

ภายหลัง Paul Potts ชนะเลิศในรายการนี้ ได้รางวัลไปแสดงโอเปร่าต่อหน้า ควีนอลิซาเบธที่2 เขาออกอัลบั้ม 2 ชุด ขึ้นชาร์ทเพลงทั่วโลก และปัจจุบัน เป็นนักร้องโอเปร่าที่มีคิวคอนเสิร์ทเยอะที่สุดคนหนึ่ง เพราะเขาโด่งดังเป็นพลุแตกหลังจากวันนั้นนั่นเอง ความฝันของเขาก็เป็นจริงในที่สุด

15 ธันวาคม 2553

Once

แรงบันดาลใจจาก ภาพยนตร์เรื่อง Once





Once คือ เรื่องราวเปี่ยมแรงบันดาลใจของสองชีวิตที่โคจรมาพบกันบนถนนเมืองดับลินอันสับสนวุ่นวาย คนหนึ่งคือนักดนตรีข้างถนนที่ไม่กล้าร้องเพลงของตัวเอง อีกคนหนึ่งคือสาวเชคลูกหนึ่งที่พยายามหาทางปรับตัวเข้ากับเมืองใหม่ที่ไม่คุ้นเคย ในระยะเวลาสั้น ๆ ที่ได้รู้จักกัน ทั้งคู่ต่างค้นพบพรสวรรค์ในตัวกันและกัน และช่วยผลักดันให้ฝันของอีกฝ่ายเป็นจริง หนังได้รับการยกย่องว่าอัดแน่นไปด้วยแรงบันดาลใจ โดยมีกลิ่นอายหนังเพลงคลาสสิคในอดีตผสมกับโลกไร้ขนบของหนุ่มสาวชาวดับลิน





 ด้วยวิทยาการด้านต่างๆ  ทำให้ผู้คนสามารถรู้จักกันได้มากมาย..
 ความสะดวกสบายด้านเทคโนโลยี่และคมนาคม เอื้อโอกาสให้เราได้พบปะผู้คนมากหน้าหลายตา


 
      ได้มาทำความรู้จัก  เรียนรู้ซึ่งกันและกัน
      มาสร้างมิตรภาพ และ ความผูกพัน
     หรือ ประสบการณ์อันเลวร้ายจนยากจะลืมเลือน..


อันทุกๆความสัมพันธ์ไม่ว่าจักของใครหรือใครนั้นย่อมมีเรื่องราวของมันอยู่..
บางครั้ง คนเราอาจจะหลงลืมกันไปบ้าง แต่.. ความทรงจำที่มีร่วมกันนั้น ย่อมมิได้หายไปไหน
ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ในรูปแบบใด คู่รัก..เพื่อนเรียนสมัยอนุบาล..เจ้านายที่ทำงาน..หรือแม้จะเป็นแม่ค้าขายขนมหน้าปากซอย


และเช่นเดียวกันที่ทุกการพบเจอย่อมมีการพลัดพราก...
ไม่ว่าจะเป็นด้วยสาเหตุอันใด  ก็ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าจะสามารถอยู่กับเราไปตลอดชีวิต
เพียงแต่รูปแบบของการจากลา อาจมีความแตกต่างกันไป


       บางคนอาจจากกันด้วยความตาย
      แต่...ก็คงมีอีกหลายความสัมพันธ์ที่จบลงเพียงแค่ เราหลงลืมกันและกัน...


ในห้วงชีวิตหนึ่งของคนเรา มีผู้คนมากมายที่ผ่านเข้ามาและพวกเขาก็ห่างหายจากไป
หากแต่... ณ ช่วงเวลาที่เรามีร่วมกันนั้น  เราได้แบ่งสิ่งใดต่อกันบ้าง?


เมื่อถึงเวลาที่ต้องร่ำลา
เราอยากทิ้งสิ่งใดไว้ให้อีกคนหนึ่งจดจำ?


Once…. เป็นภาพยนตร์ฟอร์มเล็กๆที่เนื้อหายิ่งใหญ่เกินตัว
เนื้อเรื่องว่าด้วย ช่วงเวลาหนึ่งที่ ชาย-หญิง สองคน ได้มาพบเจอและได้มอบสิ่งดีดีไว้ให้แก่กัน ก่อนที่พวกเราทั้งสองต้องมีอันจากกัน ไปดำเนินชีวิตและตามหาความฝันในแบบของตนเอง
มิตรภาพที่พวกเราทั้งสองได้มอบไว้ให้แก่กัน ถึงแม้นจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่คงจะสามารถเรียกรอยยิ้มได้ เมื่อระลึกถึง  แม้นพวกเขาอาจจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีก


หากชีวิตยังคงดำเนินต่อไปในรูปแบบของมัน...
พวกเราคงจักต้องเจอะเจอผู้คนอีกมากหน้าหลายตา โดยมิอาจรู้ว่าพวกเขาจะมาสร้างประสบการณ์ในรูปแบบใดให้แก่เรา


แต่ท้ายที่สุด พวกเขาก็ต้องจากเราไป ไม่ว่าช่วงเวลานั้นจะช้าหรือเร็ว...


    เราอยากมอบสิ่งใดให้พวกเขาจดจำ?


               จะเป็นความทรงจำอันเลวร้าย
              หรือ    ช่วงเวลาที่งดงาม...



ตัวอย่าง ภาพยนตร์เรื่อง ONCE



ขอแนะนำเสียงดนตรีที่จะทำให้นึกถึงแรงบันดาลใจดีๆ

เพลงประกอบภาพยนตร์ :อัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์ทุกเพลงแต่งโดย เกล็น แฮนซาร์ด ยกเว้นเพลงที่มีวงเล็บระบุผู้แต่งด้านหลัง
          01 "Falling Slowly" – เกล็น แฮนซาร์ด และ มาร์เกตา เออร์โกลว่า (แต่งโดยแฮนซาร์ดและเออร์โกลว่า)
          02 "If You Want Me" – เออร์โกลว่าและแฮนซาร์ด (แต่งโดยเออร์โกลว่า)
          03 "Broken Hearted Hoover Fixer Sucker Guy" – แฮนซาร์ด
          04 "When Your Mind’s Made Up" – แฮนซาร์ดและเออร์โกลว่า
          05 "Lies" – แฮนซาร์ดและเออร์โกลว่า (แต่งโดยแฮนซาร์ดและเออร์โกลว่า)
          06 "Gold" – Interference (แต่งโดยเฟอร์กัส โอ ฟาร์เรล)
          07 "The Hill" – เออร์โกลว่า (แต่งโดยเออร์โกลว่า)
          08 "Fallen from the Sky" – แฮนซาร์ด
          09 "Leave" – แฮนซาร์ด
          10 "Trying to Pull Myself Away" – แฮนซาร์ด
          11 "All the Way Down" – แฮนซาร์ด
          12 "Once" - แฮนซาร์ดและเออร์โกลว่า
          13 "Say It to Me Now" – แฮนซาร์ด

14 ธันวาคม 2553

ขายหัวเราะ :D


แรงบันดาลใจที่จะหยิบมาให้คุณได้ลอง 'เปิดใจ' ค้นหาความลับซึ่งจะพาคุณโลดแล่นสู่จินตนาการของเสียงหัวเราะและอมยิ้มไปกับลายเส้นการ์ตูนที่เกินจินตนาการจริงๆ  


การ์ตูนขายหัวเราะ


ขายหัวเราะ เป็นชื่อของนิตยสารการ์ตูนไทยรายสัปดาห์ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์บรรลือสาส์น ภายใต้การบริหารงานของ วิธิต อุตสาหจิต และเป็นหนังสือการ์ตูนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเล่มหนึ่งในประเทศไทย ควบคู่ไปกับนิตยสารมหาสนุก ซึ่งจัดพิมพ์โดยบรรลือสาส์นเช่นกัน เริ่มตีพิมพ์ฉบับแรกเมื่อ พ.ศ. 2516

ภาพต่อไปนี้เป็นภาพปกและเนื้อหาในการ์ตูนขายหัวเราะ
หนังสือเด็กอีกหนึ่งเล่ม ที่ไม่เคยมีพิษภัยอันได
เป็นหนังสือที่สะอาดๆๆ สามารถอ่านได้อย่างบริสุทธิ์ คลายเคลียดได้เป็นอย่างดี

ยามยุ่งยากมากๆๆ ถ้าปลีกวิเวก ท่องโลกของการ์ตูน ก็ไม่น่าแปลกใจอันใดไม่ใช่หรือคะ




ขายหัวเราะ เป็นนิตยสารที่นำเสนอการ์ตูนตลกสามช่องจบ หรือ การ์ตูนแก๊กเกือบตลอดทั้งเล่ม ภายในลงพิมพ์เรื่องขำขันแทรกเป็นช่วงๆ และเรื่องสั้นสามเรื่องในแต่ละฉบับ ซึ่งไอเดียในการเขียนการ์ตูนแก๊ก ขำขัน และเรื่องสั้นเหล่านี้ ผู้อ่านสามารถเขียนเพื่อนำเสนอให้ทางนิตยสารตีพิมพ์ได้ โดยต้องผ่านการพิจารณาจากกองบรรณาธิการก่อน นักเขียนเรื่องสั้นที่มีชื่อเสียงโด่งดังหลายคนก็เคยมีผลงานตีพิมพ์ในนิตยสารฉบับนี้ เช่น อธิชัย บุญประสิทธิ์, ดำรง อารีกุล, น้ำอบ, นอติลุส, เพชรน้ำเอก เป็นต้น


ส่วนขนาดรูปเล่มของขายหัวเราะ ในสมัยเริ่มแรกมีรูปเล่มขนาดใหญ่เท่ากระดาษ A4 ต่อมาในปี พ.ศ. 2529 จึงได้เริ่มปรับขนาดหนังสือให้เล็กลง โดยใช้ชื่อหนังสือเล่มเล็กว่า "ขายหัวเราะฉบับกระเป๋า" มีขนาดเท่ากระดาษ B5 ซึ่งเป็นขนาดของหนังสือขายหัวเราะในปัจจุบัน ส่วนขายหัวเราะฉบับเดิมก็ยังคงพิมพ์ต่อไป จนกระทั่งมีการยกเลิกในเวลาต่อมา เหลือเพียงขายหัวเราะฉบับกระเป๋าเท่านั้น




กำหนดการออกนิตยสารนั้นเดิมกำหนดออกเป็นรายปักษ์ (ราย 15 วัน) ภายหลังจึงปรับให้ออกเป็นรายสัปดาห์พร้อมกับมหาสนุก โดยขายหัวเราะมีกำหนดออกในวันอังคาร ส่วนมหาสนุกออกจำหน่ายในวันศุกร์ ต่อมาจึงปรับกำหนดออกอีกครั้งให้เป็นวันพุธทั้งสองฉบับ




นักเขียนการ์ตูนของขายหัวเราะ

นักเขียนในปัจจุบัน

รายชื่อนักเขียนของขายหัวเราะในปัจจุบันนี้อ้างอิงตามที่ปรากฏรายชื่อนามปากกาในนิตยสารขายหัวเราะ ฉบับที่ 1033 ประจำวันพุธที่ 20-26 พฤษภาคม 2552
•วัฒนา (วัฒนา เพ็ชรสุวรรณ, นามปากกาอื่น: ตาโต) - แฟนการ์ตูนนิยมเรียกว่า "อาวัฒน์" ปัจจุบันดูแลนิตยสาร "เบบี้" เขียนปกนิตยสาร "ขายหัวเราะ" และมีผลงานตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ข่าวสดและนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์

•จุ๋มจิ๋ม (จำนูญ เล็กสมทิศ) - ปัจจุบันรับผิดชอบดูแลนิตยสารหนูจ๋าเพียงฉบับเดียวเท่านั้น แต่ยังปรากฏรายชื่อนักเขียนอยู่ในขายหัวเราะและมหาสนุก

•ต่าย (ภักดี แสนทวีสุข) - เจ้าของผลงานการ์ตูนชุด "ปังปอนด์"

•นิค (นิพนธ์ เสงี่ยมศักดิ์) - เจ้าของผลงานการ์ตูนชุด "คนอลเวง"

•ต้อม (สุพล เมนาคม) - เจ้าของผลงานการ์ตูนชุด "แก๊งจอมป่วน"

•เฟน (อารีเฟน ฮะซานี) - เจ้าของผลงานการ์ตูนชุด "สาวดอกไม้กะนายกล้วยไข่" และ "รามาวตาร"

•หมู (สุชาติ พรหมรุ่งโรจน์) - เจ้าของผลงานการ์ตูนชุด "กระบี่หยามยุทธภพ" และ "สามก๊ก มหาสนุก"

•ปุ๋ย (ศุภมิตร จันทร์แจ่ม)

•ขวด (ณรงค์ จรุงธรรมโชติ) - ปัจจุบันมีงานเขียนการ์ตูนล้อการเมืองในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์รายวัน และมีผลงานให้กับมหาสนุก

•เอ๊าะ (ผดุง ไกรศรี) - เจ้าของผลงานการ์ตูนชุดหนูหิ่น อินเตอร์

•โย่ง (อัครเดช มณีพันธุ์)

•ช่วง (ช่วง ชุ่มวงศ์)

•ก๊อก (พิชิต สรรพพันธ์)

•น็อต (พรพล สำหรับสุข) - ปัจจุบันมีผลงานตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ

•ดั๊มพ์ (พนัส คุ้มคำมี)

•ป้อม (ศุภชัย ลัทธิรมย์)

•โดด (สมพงษ์ สุวรรณดี)

•เอ๊ะ (ภูวดล ปุณยประยูร)

•จ๊ะโอ๋ (นิวัฒน์ ทองสุข)

•ไก่ (ธรรมรัตน์ รมย์นุกูล) - ปกติทำหน้าที่ในกอง บก. ขายหัวเราะและมหาสนุก ตำแหน่งบรรณาธิการที่ปรึกษา

•เด่น (จักรพงศ์ กว้างขวาง)

•วุ่น (พิรุณ บุญประเสริฐ)

•ก้าง (พรพิทักษ์ ประเสริฐ)

•วิรัตน์ (วิรัตน์ ยืนยงพัฒนากิจ)

•มังกร (มังกร สรพล)

•ยุง (จีรพงษ์ ศรนคร)

•น้อยหน่า (สุริยา อุทัยรัศมี)

•เดอะดวง (วีระชัย ดวงพลา)

•ต้น (จักรพันธ์ ห้วยเพชร) - เจ้าของผลงานการ์ตูนชุดสตรีทบอลสะท้านฟ้า (ตีพิมพ์ในนิตยสารมหาสนุก)

•บอย (นามปากกาอื่น : ไอ้บอย) - นักเขียนหน้าใหม่และเป็นนักเขียนวัยรุ่นคนแรกของขายหัวเราะกับมหาสนุก

•มอน - นักเขียนหน้าใหม่และเป็นนักเขียนวัยเยาว์คนแรกของขายหัวเราะ-มหาสนุก




 นักเขียนในอดีต

•ปิยะดา (นาวาอากาศเอกประเวส สุขสมจิตร)

•พลังกร - ปัจจุบันมีงานเขียนการ์ตูนล้อการเมืองในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์

•พล (พล พิทยาสกุล) - ปัจจุบันเป็นนักเขียนการ์ตูนล้อการเมืองในหนังสือพิมพ์ข่าวสดและนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์

•อ้อ อ่อนน้อม - ลาออกเมื่อ พ.ศ. 2532

•แอ๊ด (อรรณพ กิติชัยวรรณ) - ปัจจุบันมีผลงานล้อการเมืองในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

•เดี่ยว (ธรรรักษ์ แสงสุวรรณ) - ฉายา "มะเดี่ยวศรีหลานยายปริก" ยุติการเขียนการ์ตูนเมื่อพ .ศ. 2547 ปัจจุบันเป็นศิลปินอิสระ

•ต่อ (โพชฌงค์ ทองอนันต์) - เสียชีวิตเมื่อ พ.ศ. 2547 จากอุบัติเหตุรถชน

•สัญ (สัญญา พูลศรี) - ปัจจุบันเปิดบริษัทของตัวเอง

•เอ๋ (ศิรินันท์ วิชาตรง) - นักเขียนการ์ตูนหญิงคนแรกของขายหัวเราะ ปัจจุบันเป็นศิลปินอิสระ

•อ๋อน (วีระเดช ไกรศรี) - น้องชายของผดุง ไกรศรี (เอ๊าะ) ปัจจุบันเป็นนักแต่งเพลงลูกทุ่ง

•กุ่ย (ชัยวัฒน์ สุวัฒนรัตน์) - ปัจจุบันมีงานเขียนการ์ตูนล้อการเมืองในหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

•เชษฐา - ปัจจุบันมีงานเขียนการ์ตูนตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ

•บัฟ (เศวต อติยศพงศ์) - เลิกเขียนการ์ตูนให้กับบรรลือสาส์นแล้ว ปัจจุบันเปิดสำนักพิมพ์ใหม่ของตัวเอง

•เดช (รณเดช ส่องศิริ) - ลาออกเมื่อ พ.ศ. 2538

•รินทร์ (จักรนรินทร์ พรหมอินทร์) - เลิกเขียนการ์ตูนให้กับบรรลือสาส์นแล้ว

•จิ๋ว - ลาออกเมื่อ พ.ศ. 2538

•เดีย (ทวิรัชต์ เตียนสำรวย) - ปัจจุบันเป็นเจ้าหน้าที่เขตจอมทอง กทม.




12 ธันวาคม 2553

บ้านสีเหลือง :)

Mozarts Geburtshaus


บ้านเลขที่ 9 ถนน Getreidegrasse แห่งเมือง Salzburg เป็นบ้านเกิดของโมสาร์ท
ตอนนี้บ้านเหลืองๆหลังนี้จัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์บ้านเกิดโมสาร์ท หรือ Mozarts Geburthaus เก็บเงินค่าเข้าชมหกยูโรห้าสิบ





   ภายในบ้านหลังนี้ออกแบบโดย Robert Wilson นักศิลปะชาวอเมริกัน โดยมี themeในการออกแบบให้เหมือนตอนที่โมสาร์ทมีชีวิตอยู่มากที่สุด (เมื่อ 250 ปีที่แล้วน่ะ)ภายในบ้านแบ่งออกเป็นเก้าห้อง คือ ห้องเก็บของ ห้องนั่งเล่น ห้องที่โมสาร์ทมีได้ไอเดียการแต่งเพลง ห้องซ้อมเปียโนไวโอลิน ห้องเล่นสนุกของโมสาร์ท ฯลฯ แต่ละห้องตกแต่งด้วยรูปภาพของโมสาร์ทและของครอบครัวโมสาร์ท เห็นแล้วก็รู้สึกว่าทุกคนหน้าตาเหมือนกันไปหมดเลย

ถนน Getreidegrasse ในปี พ.ศ. นี้กลายเป็นถนนที่คึกคักที่สุดใน salzburg เพราะเป็นถนนที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องมาเดิน เป็นถนนที่เต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหารดีๆ ร้านกาแฟเวียนนา ร้านเสื้อผ้าแบรนด์เนม และร้านไอติมแสนอร่อยที่เจ้าของเคยไปเที่ยวหาดป่าตองบ้านเรามาแล้ว
แต่ถนนดังกล่าวก็ยังคงความสวยงามและความขลังแบบเมืองดนตรีอยู่
มิน่าละถึงถูกเลือกให้เป็น location หนังเรื่อง the sound of music ในอีกสองร้อยปีกว่าถัดมา




การนึกถึงคนดัง
ในสมัยเด็กๆ ว่าเค้าเป็นคนยังไง
ก็สนุกดี และเสริมสร้างจินตนาการชะมัด

เรานึกถึงบ้านสีฟ้า ใน หนัง Notting Hill น่ะ
อยากเห็นของจริงทั้งบ้านเหลืองบ้านฟ้าเลย

ถ้าถูกหวยมะไร จะไปเยือนนนน



09 ธันวาคม 2553

Nescafe'


อะไรดีๆ..เริ่มที่

อะไรที่ทำให้ความแปลกหน้าของเราเปลี่ยนมาเป็นความคุ้นเคย

อะไรที่ทำให้ความเงียบเหงาล่วงเลยสู่วันแห่งความสดใส

เปลี่ยนวันเวลาห่างเหินและความหมางเมินเป็น..ให้อภัย

อะไรๆ เริ่มเปลี่ยนแปลงเมื่อเราเปิดใจ...

อะไรที่ทำให้ความทุกข์ร้อนของเธอกลับกลายเป็นเรื่องของเรา

อะไรบรรเทาให้ความอ้างว้างและความห่างไกลกลายเป็นความใกล้

เปลี่ยนมุมที่เคยเหน็บหนาวให้มีเรื่องราวอบอุ่นหัวใจ

อะไรๆ เริ่มเปลี่ยนไปเพราะ... เนสกาแฟ... ?







 ดูโฆษณานี้แล้วก็ชอบเพลงประกอบมัน ฟังแล้วสบายๆ ดี

ฟังตอนอารมณ์นิ่งๆ แล้วทำให้มองโลกในแง่ดี

มองโลกสวยงามน่าอยู่ อยากจะเป็นมิตรกับผู้คน

อยากให้คนเรามีความสุข พอใจกับตัวเองให้มากๆ

ตรงท่อนสุดท้าย เราว่า ไม่ใช่เพราะเนสกาแฟหรอก

ที่อะไรๆ เริ่มเปลี่ยนไป เพราะตัวเราเอง ตะหาก

เราเปิดใจที่จะยอมรับ ที่จะคิดบวก

ลงท้าย เราก็ได้รับความสุขไปเต็มๆ ^^

แต่โดยรวมแล้วชอบนะค่ะ ไอเดียของโฆษณาชุดนี้ เพื่อนๆคิดว่าไงกันบ้างค่ะ



08 ธันวาคม 2553

Nice to meet you




ยินดีที่ได้รู้จัก..ทุกๆคนที่มีความฝัน
ยินดีที่ได้รู้จัก..ทุกๆคนที่มีความหวัง
        และ
ยินดีที่ได้รู้จัก..ทุกๆคนที่ต้องการแรงบันดาลใจ

สำหรับคนที่กำลังมองหาแรงบันดาลใจ..
ที่จะช่วยขับเคลื่อน..ความหวังและความฝัน..ให้มุ่งหน้าสู่จุดหมาย
เพียงแค่คุณลองเปิดใจให้กว้างมองหาแรงบันดาลใจ
คุณอาจจะเจอความลับที่ถูกซ่อนอยู่ ..ก็ได้


..........................................

เรื่องของแรงบันดาลใจ

            บทสนทนาเรียบง่ายฝึกความเคลื่อนไหวของปลายนิ้วสัมผัสจบลงขณะเข็มสั้นยาวของนาฬิกาบอกเวลาสามนาฬิกาเศษ ลมย่ำรุ่งในฤดูใบไม้ผลิไม่รุมเร้ากรีดผิว แต่หากกลับเป็นความเย็นฉ่ำสดชื่นพร้อมกับความอบอุ่นในหัวใจ

ในเวลาสามนาฬิกาเศษที่หลายคนกำลังหลับไหล หลายคนกำลังคร่ำเคร่งกับการอ่านหนังสือทำวิทยานิพนธ์ตามหน้าที่ของนักเรียนที่ดี หลายคนกำลังสำเริงสำราญอยู่ในสถานบันเทิงรายล้อมด้วยสุราหลายประเภท เวลาสามนาฬิกาเศษดังกล่าวกลับเป็นเวลาเดียวกันกับที่คนสองคนจบบทสนทนายามค่ำคืน
บรรยากาศเรื่องเศร้าควรจะถูกพัดผ่านออกไปด้วยบทลงท้ายที่บ่งบอกถึงการทำใจให้ไม่ยึดติดกับสิ่งที่ผ่านเข้ามาและผ่านออกไป เรื่องที่สรรหามาคุยกันในวาระต่อไปควรจะเป็นบทเรื่องราวของการเปิดเผยความชอบและความฝัน

น่าประหลาดที่สมองของคนเรามีซอกหลืบเล็กๆสำหรับการบรรจุความฝันเสมอ ไม่ว่าภาระกิจที่มีอยู่จะมากมายหนักหนาสักเท่าไร อายุอานามที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาลการหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนใบของต้นไม้ หรือจะเป็นเวลานานแสนนานนักหนาที่ความฝันถูกฝังกลบลงไป แล้วถูกกระตุ้นให้มีชีวิตขึ้นมาใหม่อีกครั้งจากปรากฎการณ์อะไรบางอย่างหรือคนบางคน

คำถามที่น่าขบคิดเสมอคือ ความฝันเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตหรือไม่ บ่อยครั้งเหมือนกันที่สงสัยและอยากได้คำตอบว่าจะดีกว่านี้ไหมหากไม่มีความฝัน ความฝันอยากท่องเที่ยวไปมองชมสถานที่ต่างๆที่เคยอ่านผ่านตามาในวัยเด็กดูเหมือนจะเป็นตะกอนตกอยู่ภายในจิตใจมานานแสนนาน รอคอยเวลาที่จะมีเหตุการณ์ใดพัดผ่านตะกอนที่นอนก้นขึ้นมาแผ่ตรงหน้า ส่งผลให้มีการคำนวณเงินออมที่ต้องใช้ในการท่องเที่ยวดูชม และคำนวณถึงผลได้เสียจากการกระทบกับการเล่าเรียนศึกษาที่ตกปากรับคำเซ็นสัญญากับทางราชการว่าจะต้องทำให้สำเร็จ แต่หากอยู่อย่างคนไร้ความฝัน ไม่ได้สัมผัสกับความลุ่มลึกของจิตใจและความผิดหวังในการไม่ได้ทำดังฝัน เงินเก็บออมทั้งหลายก็คงมีจำนวนมากพออยู่สำหรับการจับจ่ายหรือลงทุนในโครงการเล็กๆ ทางไหนจะเป็นคำตอบที่ดีจากคำถามที่มีว่าความฝันเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตหรือไม่ ความฝันที่ในบางครั้งเป็นเพียงโครงการเล็กๆสั้นๆ อย่างเช่นการเขียนเรื่องสั้นกึ่งจริงกึ่งเท็จบอกเล่าเรื่องราวการท่องเที่ยวที่ประทับใจ การนัดกันรับประทานอาหาร การพบปะเพื่อนฝูงของกันและกัน รวมทั้งถึงการแลกเปลี่ยนมุมมองถึงดินแดนแห่งความฝันของคนสองคน

หลายคนจึงมีความลังเลตั้งแต่จะเริ่มมีความฝัน ดูเหมือนว่าในบริบทของคนบางคน ความฝันดูเป็นสิ่งที่ทำลายความเชื่อมั่นในระบบความคิด เป็นสิ่งที่โหดร้ายรุนแรงหากจะมีขึ้น เพียงเพราะความเชื่อที่ว่าความฝันเป็นสิ่งทำลายแนวการดำเนินชีวิตแบบเดิมๆ จึงทำให้ฉงนใจเสมอว่า เหตุใดคนเหล่านั้นจึงไม่เอาความฝันมาเป็นแรงผลักดันให้มีพลังในดำรงชีวิต การตั้งความฝันไว้เป็นเรื่องสุขใจแต่หากทำไม่ได้ดังนั้นก็มิใช่เรื่องที่จะไปโทษชะตาชีวิต คนเรามีความหลายหลายและถูกสร้างมาให้ทำหน้าที่แตกต่างกัน หากเมื่อใดที่สามารถทำตามความฝันได้ก็น่าจะเป็นช่วงเวลาที่หัวใจพองโตและเต้นแรงจากความอิ่มเอิบและดื่มด่ำ

บางทีอาจจะน่าขอบคุณโชคชะตาที่พัดผ่านเข้ามาให้พบกับคนที่มีความฝัน แม้จะเหมือนบ้างหรือต่างกันบ้าง แต่มีความเข้าใจในการมีความฝันและดื่มด่ำกับความฝัน รวมทั้งการรอคอยระยะเวลาและโอกาสที่จะทำให้ความฝันนั้นเป็นจริง ไม่รู้เหมือนกันว่าศัพท์ภาษาไทยกำหนดนิยามความสัมพันธ์ประเภทนี้ไว้ว่าอย่างไร ดูราวกับว่าภาษาที่ใช้ในการเขียนหนังสือที่แสนคุ้นเคยและเป็นภาษาแรกที่พูดได้นี้ ดูจะแคบและติดขัดไปถนัดใจเมื่อถูกป้อนคำถามเรื่องนิยามของความสัมพันธ์

แม้ไม่ใช่เรื่องราวที่เคยอยู่ในความฝันมาก่อน แต่การพบคนเช่นดังว่าก็อาจจะเรียกขานได้ว่าเป็นหนึ่งในที่มาของแรงบันดาลใจ น่าดีใจเหลือเกินที่โลกนี้ยังมีคนที่มีความฝันและเข้าใจความฝัน น่าปลาบปลื้มที่แรงบันดาลใจเป็นเพียงคนหนึ่งที่เราจับต้องได้แม้จะอยู่กันไกลแสนไกล ความสัมพันธ์กันระหว่างแรงบันดาลใจและความฝันจึงอาจจะมีเพียงว่า การแบ่งปันความฝันทำให้พบแรงบันดาลใจ แต่หากจะทำให้แรงบันดาลใจมาเป็นความฝันก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ลำบากลำบนเอาการ ต้องใจพลังใจสูง แถมการพลาดฝันในครั้งนี้อาจจะทำให้ชีวิตปัดเป๋ไปอย่างคาดไม่ถึง

เพราะบางทีแรงบันดาลใจอาจจะหาได้ยากกว่าความฝัน นอนหลับไปในแต่ละคืนก็พบกับความฝัน จะเป็นฝันดีฝันร้าย หรือฝันบอกเหตุอย่างไรก็ยังนับได้ว่ากลไกของมนุษยชาติหลีกหนีกับความฝันไม่ออก หากลืมตาตื่นมองดูหนังสือรูปถ่ายก็มีความฝันอยากไปโน่นมานี่ พูดคุยกับเพือนฝูงญาติสนิทเพียงเล็กน้อยก็สามารถเรียกเอาความฝันที่แอบตัวอยู่เงียบๆออกมาเล่าสู่กันฟังได้ ในขณะที่แรงบันดาลใจอาจต้องใช้อีกนานแสนนานในการค้นหา หากชีวิตมนุษย์ถูกสร้างสรรค์มาจากมือที่มองไม่เห็นให้มีสิทธิได้พบอะไรและเลือกอะไรได้เป็นบางอย่างแล้ว การตัดสินใจเก็บรักษาคงไว้ซึ่งแรงบันดาลใจดูจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าการเก็บรักษาความฝัน แรงบันดาลใจที่กรุ่นอยู่ในหัวใจสามารถเรียกความฝันที่หลงทางสะเปะสะปะกลับมาตีแผ่ตรงหน้าได้เสมอ

และหากแรงบันดาลใจจะมีที่มาจากการแบ่งปันความฝันจริง ก็น่าจะขอบคุณตัวเองที่เป็นคนมีความฝันและขอบคุณโชคชะตาที่พัดพาไปให้พบกับคนที่มีความฝันเฉกเดียวกัน ทำให้ไม่รู้สึกว่าตัวเองแปลกแตกต่างจากผู้อื่นนักในการกล้าหาญที่จะมีความฝันและทำตามความฝัน และน่ายินดีที่พบว่าแรงบันดาลใจยังอยู่ใกล้ๆกับเราเสมอไม่ว่าจะเป็นฐานะใดและในพิกัดองศาใดของโลก