20 กุมภาพันธ์ 2554

โลกแสนวิเศษ

โลกแสนวิเศษ

การ์ตูนสร้างแรงบันดาลใจ

 

สำหรับใครที่ชอบอ่านหนังสือหรืออ่านการ์ตูนเรามีการ์ตูน 2 เล่มนี้มาแนะนำค่ะ รับรองว่าอ่านแล้วคุณจะร้สึกว่าโลกนี้ยังมีอะไรให้น่าค้นหาอีกเยอะแยะไปหมด :)

 


อืมม… ชื่อการ์ตูนน่าอ่านจัง น่าสนใจดีแฮะ….
พลางพลิกด้านหลังหนังสือเพื่อหาคำอธิบาย
ขยายความเนื้อหาเรื่องนี้สักหน่อย ก่อนตัดสินใจซื้อ

ขอแค่ยังมีชีวิตอยู่
สักวันก็จะได้เจอกับเรื่องดีๆ ในสักที่แน่ๆ
บนโลกแสนวิเศษอันอ่อนโยนแต่น่าเศร้า สนุกสนานแต่ขมขื่น
และไร้แก่นสารเป็นที่สุด ที่พวกเรามีชีวิตอยู่…”

อืม…รู้สึกว่าโดนว่ะ!!!… หยิบไปจ่ายเงิน อย่างไม่ลังเล
พอพลิกอ่านตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย เนื้อหาของการ์ตูนเรื่องนี้
เป็นเรื่องสั้นจบในตอน แต่ละตอนเล่าถึงชีวิตของผู้คน
ที่อาจมี ‘วิถีชีวิต’ ที่แตกต่างกันไป
แต่กลับมี ‘ความรู้สึก’ ที่ไม่ต่างกัน นั่นก็คือ

ความรู้สึก ‘หมดหวัง’  ‘สับสนชีวิต’ และ ‘ใช้ชีวิตเอื่อยเฉื่อย เรื่อยเปื่อย’
“นี่มันชีวิตตูป่ะเนี่ย?” ประโยคนี้มันดังกังวานอยู่ในใจ
 ระหว่างพลิกอ่านในแต่ละหน้า เฝ้าดูตัวละครที่กำลังดำเนินชีวิต
 ‘ไปวันๆ’ หรือใช้ชีวิต ‘ไปตามครรลอง’

ที่ภายนอกดูจะปกติดี แต่ภายในจิตใจกลับรู้สึกขัดแย้ง…
และตั้งคำถามอย่างขัดใจ ต่อโลกใบนี้ที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ว่า…
“ทำไมโลกนี้ช่างน่าเบื่อ”
“ทำไมโลกนี้ช่างไม่ยุติธรรม”
“ทำไมโลกนี้ช่างไร้แก่นสาร”
ทำไม…ทำไม…ทำไม??????

แต่ไม่เคยถามใจตัวเองว่า ทำไม ไม่เปลี่ยน ‘วิธีมองโลก’ของคุณซะล่ะ?
……..

ทำไมพวกเขาถึงเป็นเช่นนั้นหนอ?
คาแรกเตอร์แต่ละคนในการ์ตูนเล่มนี้ ช่างจี้ใจดำพวกเราซะเหลือเกิน
เพราะตัวละครในทุกตอนมักเป็นคนขี้แพ้,ขี้ขลาด,อ่อนแอ,เก็บกด,ดีแต่พูด
มีปมในอดีต,ท้อแท้กับชีวิต,สับสนกับหนทางที่เลือกเดิน
กล้าๆกลัวๆที่จะทำตามความฝัน….

เราทุกคนต่างก็มีด้านใดด้านนึงอย่างที่ว่าไม่ใช่หรือ?
เราต่างก็มีช่วงชีวิตที่ต้องพบเจอกับปัญหา หรือเรื่องราวร้ายๆ ไม่ใช่หรือ?

แม้เนื้อหาในการ์ตูนจะมี ‘ความหดหู่’ ให้เราได้ห่อเหี่ยวใจในช่วงแรก
แต่ช่วงท้ายของแต่ละตอนมักทิ้งท้าย ‘ความหวัง’ ให้เราได้ชื่นใจเสมอ

เพราะชีวิตไม่ได้ ‘ใจร้าย’ กับเราเสมอไป แต่ยัง ‘ใจดี’
ส่ง  ‘ความหวัง’ มาเป็นแรงพลังผลักดันให้ชีวิตเรา…เดินหน้าต่อไป
อย่างที่การ์ตูนเล่มนี้บอกไว้ท้ายเล่มว่า…

ขอแค่ยังมีชีวิตอยู่ สักวันก็จะได้เจอกับเรื่องดีๆ ในสักที่แน่ๆ
…บนโลกแสนวิเศษใบนี้แหละ :)

15 กุมภาพันธ์ 2554

LOVE ♥ Artwork

LOVE ♥ Artwork
ที่จะสร้างแรงบันดาลใจดีๆ ให้กับทุกวัน ไม่ใช่เฉพาะแค่วัน Valentine



 วันนี้.. อยากจะหยิบงาน Art จาก LOVE Artwork มาให้ดูเพื่อเพิ่มเติมแรงบันดาลใจ ต่อเติมความฝัน สร้างจินตนาการ ในการสร้างสรรค์ผลงานประเภทต่างๆมาให้ดูกัน ^^



  "Moment of Love" Source: http://www.portfolios.net/photo/moment-of-love



"all u need this love" Source: http://www.portfolios.net/photo/all-u-need-this-love



"love" Source: http://www.portfolios.net/photo/2988839:Photo:48201


"Alone" Source: http://www.portfolios.net/photo/alone-186



"One Love" Source: http://www.portfolios.net/photo/one-love


"Rose of love.."  Source: http://www.portfolios.net/photo/rose-of-love



"Be My Valentine" Source: http://www.portfolios.net/photo/be-my-valentine







 Source: http://www.portfolios.net/photo/2988839:Photo:151780





"It Love" Source: http://www.portfolios.net/photo/it-love





ขอขอบคุณ www.portfolios.net


13 กุมภาพันธ์ 2554

Across The Universe

Across The Universe
รักนี้..คือทุกสิ่ง แรงบันดาลใจจากบทเพลงของวง The Beatles



แรงบันดาลใจ..ที่อยากให้ทุกคนได้สัมผัสกับหนังรักอลังการงานสร้างที่พลาดไม่ได้ สำหรับคนที่ต้องการแรงบันดาลใจดีๆ คนที่มีความฝัน และความหวัง แนะนำให้ดูค่ะ เป็นหนังที่เรียกว่าถ้าได้ดูแล้ว ดูอีกกี่รอบก็ไม่เคยเบื่อเลย บทเพลงเพราะๆของวง the beatles จะพาคุณเพลิดเพลินไปกับภาพและเรื่องราวของเหล่าคนที่มีความฝัน [และที่สำคัญนะค่ะ พระเอกนางเอกของเรื่องนี้ น่ารักสุดๆ^^]




     Across The Universe หนังรักเพลงสี่เต่าทอง (The Beatles) แปลกแหวกแนวกว่าหนังรักทั่วไป แถมยังเป็นอะไรที่อาร์ตสุดๆ มีความเป็นศิลปะอยู่สูงมาก และการแสดงที่เหนือชั้นของทีมแดนเซอร์ แต่ละฉากออกแบบมาได้อลังการงานสร้าง หนังกล่าวถึงความรักของคู่หนุ่มสาวที่พบรักกัน โดยที่ Jude (Jim Sturgess) มาไกลจากอังกฤษได้มาพบรักกับ Lucy (Evan Rachel Wood) ใน New York ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาของการต่อต้านสงครามเวียดนามของชาวอเมริกา นั่นทำให้ความรักเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคม และทำให้มิตรภาพของเพื่อนๆต้องพลัดพรากจากกันไปคนละทวีป และทุกสิ่งที่จะทำให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ก็คือ ความรัก เท่านั้น




    Across The Universe ได้ผู้กำกับหญิง Julie Taymor ซึ่งเคยกำกับหนังรางวัลออสการ์มาแล้วอย่าง Frida เมื่อปี 2002 ที่ผ่านมา หนังเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเพลงของวง The Beatles ล้วนๆ หนังใช้เพลงของ The Beatles กว่า 31 เพลง เช่น All My Loving, Let it Be, Hey Jude นำมาใช้แทนบทสนทนาและความคิดต่างๆที่ตัวละครต้องการสื่อออกมา เพลงต่างๆใช้เพื่อบรรยายบรรยากาศของสังคมยุคนั้นๆ เรื่องนี้ก็ทำออกมาได้แปลก และมีความเป็นศิลปะในตีวสูง การเปรียบเทียบสิ่งต่างๆ การเล่นสีภาพที่ไม่เหมือนใคร และการใส่เพลงลงไปตามช่วงเวลาต่างๆของหนังได้ลงตัว




   ดูแล้วทำให้เรานึกอะไรไปได้ต่างๆนานา ไม่มีสิ่งตายตัว ไม่มีการชี้นำว่าสิ่งที่ต้องการบอกแน่ชัดคืออะไร เพราะมันเป็นศิลปะที่ค่อนข้างลึกซึ้งในการตีความหมายออกมา เพื่อให้คนดูได้ปลดปล่อยจินตนาการของตัวเองออกมาได้มากที่สุด อีกทั้งหนังยังสะท้อนถึงสังคมในยุคที่ประชาชนอเมริกันต่อต้านสงครามเวียดนาม ไม่ว่าจะเป็นนักอุดมคติ หรือศิลปินต่างๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อบุคคลรอบข้าง ทำให้เป็นอุปสรรคต่อความรักของหลายๆคู่ซึ่งมีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องของอุดมคติส่วนตัว ประเด็นความรักในเรื่องที่ดูธรรมดาๆของคู่หนุ่มสาว
 
แต่มีการนำเสนอออกมาในรูปแบบของศิลปะ และแทรกด้วยประเด็นทางประวัติศาสตร์สังคมในยุค 60's ของอเมริกา อีกทั้งยังได้ดาราดังมาร่วมสร้างสีสันอย่าง Salma Hayek, Bono จากวง U2 มาร่วมแสดงอีกด้วย ทำให้ Across The Universe เป็นภาพยนตร์รักแปลกแหวกแนวที่ควรค่าแก่การชมอย่างยิ่งครับ (สำหรับคนรัก The Beatles เลยล่ะ)



ตัวอย่างภาพยนตร์เรื่อง Across The Universe 1


ตัวอย่างภาพยนตร์เรื่อง Across The Universe 2






     ใครมีโอกาสได้ไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว ก็ต้องประทับใจกันถ้วนหน้า แม้ว่าจะฉายจำกัดโรง แต่หนังปลุกผีเพลง Beatles เรื่องนี้ก็เรียกคนดูได้แน่นโรงอย่างไม่น่าเชื่อ ที่เรียกว่าเป็นหนังปลุกผีเพลง Beatles ก็เพราะ Across the universe หรือ ชื่อภาษาไทยสุดขัดหู “รักนี้คือทุกสิ่ง” ใช้บทเพลงของ The Beatles ในการดำเนินเรื่องทั้งเรื่อง ประหนึ่งเป็นละครเพลง หรือละครเวทีผ่านจอเงิน


   อัลบั้มประกอบภาพยนตร์ชุดนี้ใช้ตัวแสดงจริงร้องเองเยอะทีเดียว นักแสดงบางคนเป็นนักร้องนักดนตรีอยู่แล้ว ทั้งซุปเปอร์สตาร์มหานักบุญอย่าง(ท่านSir.)Bono แห่ง U2 หรือที่ชื่อเสียงธรรมดาน้อยแต่มากความสามารถอย่าง Dana Fuchs และมือกีตาร์ Martin Luther McCoy และชื่อของตัวละครก็มีที่มาจากเพลง The Beatles เช่นกัน เช่น พระเอกของเรื่อง Jude(เพลง Hey Jude) หรือ นางเอก Lucy (Lucy in the sky with diamond)

   อัลบั้มนี้ประกอบด้วย 2 ซีดี รวมทั้งหมด 31 เพลง ซึ่งแทบจะเรียงลำดับเพลงตามเนื้อเรื่องในหนังเลย ซึ่งเป็นเพลงของ The Beatles ทั้งหมด บางเพลงก็เหมือนต้นฉบับเด๊ะ บางเพลงก็ตัดตอนดัดแปลงเอาตามความเหมาะสม เพลงเด่นๆ ก็เช่น All my loving ที่ได้หนุ่มผู้ดีพระเอกของเรื่อง Jim Sturgess มาขับสำเนียงอังกฤษแท้ๆ ที่ตานี่ร้องเพลงดีทีเดียว แถมหน้าตาก็ไปทางนักร้องจากฝั่งอังกฤษนั่นแหละ และยังได้ฝากเสียงร้องไว้ใน I’ve just seen your face , Some thing , Revolution รวมทั้งเพลงที่มีชื่อเป็น Title หนังอย่าง Across the universe ซึ่งในเวอร์ชั่นนี้ทั้งเครื่องสาย และเสียงประสานมาประกอบได้อย่างสุดเยี่ยม ส่วน นางเอกของเรื่อง อย่าง Evan Rachel Wood ก็ได้ฝากเสียงไว้ในเพลงจังหวะสนุกๆอย่าง It won’t be long หรือเพลงช้าสะเทือนอารมณ์อย่าง Blackbird ที่ถ่ายทอดน้ำเสียงออกมาได้ไม่แพ้นักร้องอาชีพ และยังมี Helter Skelter ที่ได้นักร้องอินดี้เสียงห้าวอย่าง Dana Fuchs มาตะเบ็งได้อย่างเมามัน ตามด้วยเพลงช้าในจังหวะเกือบจะบลูส์ ใน Oh! Darling ที่ได้มือกีตาร์ในเรื่องซึ่งจริงๆก็เป็นมือกีตาร์โซล บลูอย่าง Martin Luther McCoy มาช่วยเสริม ตามด้วยเพลงปลุกเร้าอย่าง Come together ที่ได้ลุง Joe Cocker มาทำหน้าที่กระบอกเสียง และ Happiness with a warm gun ที่ได้ Salma Hayek มาช่วยร้องประสาน! หรือจะเป็นเพลงของ The Beatles ที่บ้านเรารู้จักกันดีอย่า I wanna hold your hand ที่มาในเวอร์ชั่นเหงาเศร้าโดย T.V. Caprio นักแสดงอีกหนึ่งคนในเรื่อง ผู้รับบท Prudence ที่มีชื่อมาจากเพลง Dear Prudence ซึ่งร้องได้ไพเราะมาก



  เพลงเด่นๆที่น่าฟังมากๆในอัลบั้มนี้เห็นจะเป็น Let it be โดยสาวผิวสี Carol Wood ที่ใช้ประกอบฉากที่มีสงครามกลางเมืองและมีเด็กผิวสีถูกยิงตาย อธิบายความหมายของภาพกับเพลงได้เป็นหนึ่งเดียว ทำออกมาในเวอร์ชั่น Gospel ที่ฟังโดยไม่ดูหนังก็หลั่งน้ำตาได้ และ Hey Jude ที่ร้องโดย Joe Anderson (รับบทเพื่อนสนิทของพระเอกในเรื่อง จริงๆเป็นคนอังกฤษแต่รับบทอมเริกัน)ร้องได้ดีมาก จนแทบจะลืมเวอร์ชั่นเก่าและได้ร้องสำเนียงสุดอังกฤษใน Strawberry field forever ด้วย สุดท้ายลืมไม่ได้คือท่านเซอร์ Bono(ผู้ไม่ยอมให้เรียกเซอร์ทั้งที่ได้เครื่องราชย์)ทีฝากเสียงร้องไว้ได้เยี่ยม(พอๆกับที่ได้แสดงในหนังด้วย)ใน I am the walrus และ เพลงปิดหนังสุดเจ๋งอย่าง Lucy in the sky with diamond เพลงทั้งหมดนั้นฟังผ่านก็เพราะแล้ว ยิ่งบ่มกับการดูหนังมาแล้ว เพลงยิ่งรสเข้มกว่าเดิมอย่างบอกไม่ถูก

หลังจากหนังจบและเพลงผ่านหู บทเพลงของ The Beatles ได้แสดงให้คนยุคนี้เห็นว่า ในยุคหนึ่งมีเสรีชนที่กล้าที่จะออกมาเรียกร้องถึงสันติภาพ(แม้มันจะไม่เคยมีอยู่จริง) การประณามสงครามและความอยุติธรรมในยุคนั้นเป็นหน้าที่ของคนทุกหมู่ที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันไม่ยอมก้มหัวต่อการกดขี่(ในยุคนี้ทุกคนเหมือนขยะซึ่งกันและกัน) เหล่าวีรบุรุษผู้ใช้บทเพลงเป็นสื่อต่อต้านสงคราม ในยุคของฮิปปี้และกัญชา บทเพลงเหล่านั้นแฝงด้วยจิตวิญญาณและยังคงก้องอยู่เพื่อปลุกจิตใจเสรีซึ่งมีในชนทุกเหล่าให้ตื่นขึ้นมาเรียกร้องหาสันติภาพกันต่อไป ขอคารวะหนังเรื่องนี้ และ The Beatles ด้วยใจ ♥



11 กุมภาพันธ์ 2554

Jean-Edouard Vuillard

Jean-Edouard Vuillard
งานของแม่คือแรงบันดาลใจ




Jean-Edouard Vuillard เป็นศิลปินชาวฝรั่งเศสอีกคนหนึ่งที่แม้จะมีผลงานไม่มากนักแต่ก็เป็นศิลปินที่ชาวยุโรปชื่นชมเพราะเขาเป็นศิลปินผู้บุกเบิกการวาดภาพในแบบที่เรียกว่า post impressionism อันเป็นคำที่ใช้เรียกการวาดภาพของจิตรกรชาวฝรั่งเศสหัวก้าวหน้าในช่วงระหว่างปี ค.ศ.1886-1914 จิตรกรผู้วาดภาพประเภท post impressionism เน้นเลือกใช้สีแรง ไม่เป็นธรรมชาติ วาดจากของจริงแต่รูปทรงมักไม่ถูกต้องตามธรรมชาติ จิตรกรบางคนใช้สีหนา บางคนใช้วิธีแต้มสีเป็นจุดจนเกิดเป็นภาพ บางคนใช้แปรงหนาเพื่อให้เห็นความหยาบของภาพวาด



Vuillard เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1868 ที่เมือง Cuiseaux ประเทศฝรั่งเศส มี่พี่น้องสามคน บิดาเป็นกัปตันเรือ ในปี ค.ศ. 1878 เมื่ออายุได้ 10 ขวบ ครอบครัวย้ายมาอยู่ที่กรุงปารีส เมื่อบิดาถึงแก่กรรมในปี ค.ศ. 1884 เขาได้รับทุนให้ศึกษาที่ Lycee Condorcet ทำให้ได้พบกับเพื่อนหลายคนที่ต่อมากลายเป็นศิลปินชื่อดัง

ในปี ค.ศ.1885 เพื่อนคนหนึ่งชื่อ Roussel ได้ชวนให้ไปเรียนวาดรูปกับศิลปินชื่อ Diogene Maillart เขาได้รับการฝึกอย่างหนักจนสามารถสอบเข้าโรงเรียนศิลปะที่ดีที่สุดของประเทศคือ Ecole des Beaux Arts ได้ เมื่อ Vuillard พบกับ Pierre Bonnard ศิลปินชื่อดังของโลกอีกคนหนึ่ง ทั้งคู่ถูกคอกันได้อย่างรวดเร็วและต่อมาก็ไปเช่าห้องอยู่ด้วยกัน ทั้งคู่เรียนรู้ที่จะวาดภาพแนวใหม่ ชอบวาดภาพภูมิประเทศ ภาพสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆตัว ใช้สีแรงที่ผิดเพี้ยนไปจากธรรมชาติเพื่อที่จะแสดงอารมณ์และความรู้สึกของตน



ต่อมา ศิลปินหนุ่มทั้งคู่ก็ได้ร่วมกับศิลปินอีกหลายคน เช่น Paul Serusier, Maurice Denis รวมทั้ง Aristide Maillol ช่างปั้นชื่อดังตั้งกลุ่มชื่อ Nabis อันเป็นกลุ่มศิลปินที่สนใจในการวาดภาพแบบ post impressionism ที่พยายามสร้างแนวทางในการวาดภาพให้เป็นแบบฉบับของตนเอง ศิลปินกลุ่มนี้ได้จัดแสดงผลงานของพวกเขาที่ Le Barc de Boutteville ซึ่งก็ทำให้กลุ่ม Nabis เป็นที่รู้จักมากขึ้น



แต่ไม่กี่ปีต่อมา Vuillard ก็ได้ตัดสินใจแยกออกจากกลุ่ม Nabis แล้วเริ่มวาดภาพในแนวทางของตัวเอง ในช่วงเวลานี้ เขามีโอกาสเดินทางไปหาประสบการณ์ในต่างประเทศหลายครั้ง เช่นในปี ค.ศ.1898 เขาเดินทางไป Venice และ Florence ในปี ค.ศ.1899 ไป London และ Spain เมื่อกลับมายังกรุงปารีส Vuillard ก็ได้มีโอกาสแสดงผลงานของตัวเองที่ Salon des Independants ในปี ค.ศ.1901 และที่ Salon d′Automne ในปี ค.ศ.1903



มารดาของ Vuillard เป็นช่างตัดเสื้อ ทำงานที่บ้าน เมื่อแยกออกจากกลุ่ม Nabis ได้ไม่นาน Villard ก็ได้ย้ายกลับไปอยู่กับมารดาที่ห้องชุดของมารดาในกรุงปารีส ทั้งวันเขานั่งอยู่กับบ้านอย่างสงบ มองมารดาทำงานด้วยความชื่นชมและศรัทธา ให้ความสนใจกับลูกค้าของมารดา การลองเสื้อ การแต่งตัว ในยามที่ไม่มีลูกค้ามาที่บ้าน เขาก็มุ่งความสนใจไปที่ลวดลายของผ้าตัดเสื้อ กระดาษปิดฝาผนังและพรมที่มีอยู่เต็มบ้าน



Vuillard วาดทุกอย่างที่อยู่ในห้อง ภาพที่เขาวาดส่วนใหญ่มีขนาดเล็ก ห้องที่ปรากฏอยู่ในภาพวาดของเขาคือห้องที่เขาอยู่กับมารดานั่นเอง




เวลาว่างบางครั้ง Vuillard ก็ออกไปวาดภาพนอกบ้านบ้างแต่ก็ไม่มากนัก เขาใช้เวลาเกือบสามสิบปีอยู่กับมารดา นั่งมองเธอทำงาน แล้วก็ถ่ายทอดสิ่งที่เขามองเห็นออกมาเป็นภาพวาดที่ในบางครั้งก็ตรงกันข้ามกับความเป็นจริง เขาอยู่กับมารดาจนอายุได้ 60 ปี เมื่อมารดาเสียชีวิตลงในปี ค.ศ.1928 Vuillard ตัดสินใจแต่งงานและย้ายไปอยู่ที่ La Baule เมืองตากอากาศชายทะเลที่มีชื่อเสียง




Vuillard เป็นคนเงียบๆ มีความเป็นผู้ดีสูงมาก สุภาพเรียบร้อยและสงบเสงี่ยม ขี้อายและรักมารดา คุณสมบัติเหล่านี้เป็นสิ่งที่เขาได้รับมาจากมารดาซึ่งเป็นคนใจเย็น สุภาพอ่อนน้อม ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ในภาพวาดของมารดาบางภาพ Villard เลือกที่จะใช้สีมืด เห็นใบหน้าไม่ชัด นี่คือส่วนหนึ่งของจินตนาการของศิลปินที่ต้องการทำให้คนคิดไปต่างๆนานาถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับมารดาว่าเป็นอย่างไร




นอกจากวาดภาพเหมือนตัวเองไว้หลายรูป ภาพที่เกี่ยวกับการทำงานของมารดาและภาพสวนที่เขาชอบแล้ว Vuillard ยังวาดฉากละครอีกเป็นจำนวนมาก รวมทั้งเขียนภาพบนฝาผนังแบบปูนเปียก (fresco) ในบ้านของเอกชนอีกหลายหลัง และในโรงละคร Champs-Elysees และที่ Palais de Chaillot ด้วย 


แม้งานของ Vuillard จะมีไม่มากและประวัติชีวิตของเขาก็ไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้น แต่ผลงานของเขาก็เป็นที่ชื่นชมและหลงใหลของคนจำนวนมาก ในวันนี้ ผลงานของ Vuillard กระจัดกระจายไปอยู่ทั่วโลก ทั้งในฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา บราซิลและรัสเซีย 

Jean-Edouard Vuillard ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน ค.ศ.1940 



เป็ยยังไงกันบ้างค่ะ สำหรับคนที่เพิ่งทำความรู้จักกับ Jean-Edouard Vuillard หวังว่าคงได้รับแรงบันดาลใจไม่มากก็น้อย 

ขอขอบคุณที่มารับแรงบันดาลใจค่ะ 





Thank by PORTFOLIOS*NET on February 11, 2011 at 12:06pm in Articles

Inspiration..

inspiration



บังเอิญไปเจอรูปภาพ inspiration โดนๆ จาก gallery of inspiration ของ JW มาค่ะ ดูแต่ละภาพแล้วให้ความหมายดีๆทั้งนั้นเลย



ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แม้จะไม่ใช่สายพันธุ์เดียวกัน




ไม่ว่ามันจะนานแค่ไหน ไม่ว่ามันจะยากเท่าไร เพียงเดินและมีแรงบันดาลใจคุณจะพบเป้าหมายของคุณ!



ในมือของคุณ...



 
ถ้าคุณฟังสิ่งที่ผู้คนพูดเกี่ยวกับคุณมากเกินไป คุณจะไม่เป็นตัวของตัวเอง

 

ความงามสร้างแรงบันดาลใจ



หลังๆชอบลองหลับตาวาดรูป รู้สึกดี รู้สึกแปลก รู้สึกฝืน รู้สึกตื่นเต้น





 

ขอบคุณรูปภาพ gallery inspiration จาก  JW

แล้วเพื่อนๆชอบinspiration ภาพไหนกันบ้างค่ะ :)




 

Art cars :)

Art cars - When artist meets metal
ความงดงามของงานศิลปะบนรถยนต์


แรงบันดาลใจวันนี้เอาใจคุณผู้ชายโดยเฉพาะ คนที่รักในการแต่งรถ แต่เป็นการแต่งรถแบบที่ไม่เหมือนใคร เป็นศิลปะรถยนต์อันน่าทึ่ง !




Art cars are pretty special. Their owners/designers are known as Cartists and they're reflections of their owners' personalities.

Some are brilliant - original and elegant in design. But as with all art, some of them can be pretty ropey. Still - we're not here to look at the terrible ones, we're looking at some of the all-time greats.

Whether they're bright and bold, subtle and slinky or plain ol' pretty, it's worth taking note of the work that went into creating these gorgeous cars. And if you ever get the opportunity to see them in the metal, do take it - they tend to be once-in-a-lifetime type sightings.
งานศิลปะบนรถยนต์ค่อนข้างจะเป็นสิ่งที่พิเศษมากทีเดียวค่ะ เจ้าของรถยนต์นั้นๆหรือศิลปินที่สร้างสรรค์ผลงานรู้จักกันในชื่อ Cartist สามารถแสดงบุคลิกและตัวตนของเขาผ่านงานศิลป์นี้เอง

งานศิลปะบนรถยนต์บางคันน่าชื่นชมมาก มีความเป็นแบบฉบับของตัวเองและการออกแบบสง่างามมากๆ แต่ก็เหมือนๆกับงานศิลปะอื่นๆนั่นแหละค่ะ งานบางชิ้นก็ยอดแย่เหมือนกัน อย่างไรก็ตามเราไม่ได้นำผลงานที่แย่ๆมานำเสนอกันที่นี่ เรามองหาชิ้นงานที่สุดยอดเท่านั้น

ไม่ว่าชิ้นงานนั้นจะสดใสและโดดเด่นหรือไม่ ลวดลายบอกความนัยบางอย่างหรือเพียงสวยเรียบๆ ทุกคันที่นำมาให้ชมล้วนสมควรได้รับการจดจำในผลงานการสร้างสรรค์ที่งดงาม และหากคุณมีโอกาสที่จะได้ไปเห็นของจริงแล้วละก้อ อย่ารีรอเชียวค่ะ ไปดูให้เห็นจะๆกันเลย --- มันมักจะเป็นเหตุการณ์ที่จะสามารถสัมผัสได้เพียงครั้งหนึ่งในชีวิตเท่านั้นเอง


BMW M1 by Andy Warhol
รถยนต์คันนี้คงจะเป็นรถยนต์คันที่เป็นเอกลักษณ์ของ BMW เท่าที่เคยมีการผลิตออกมา ความจริงแล้วรถคันนี้อาจจะเป็นรถ Art Car ที่สวยเป็นเอกลักษณ์ที่สุดเคยทำมาแล้ว

รถคันนี้ใหญ่ สดใส และหายาก และออกจะหยาบๆด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นการเพิ่มเสน่ห์ให้กับรถคันนี้อีกมากมาย พร้อมกับความจริงที่ว่ามันเป็นรถประเภท M1 ก็ไม่กระทบกระเทือนเช่นกัน



Cadillac Ranch by everyone


นี่เป็นรถคาร์ดิแลค 10 คัน ซึ่งจอดอยู่ที่ช่อง 60-62 ของ I-40 สถานที่นี้ก่อตั้งโดยมหาเศรษฐี นาย สแตนลี่ มาร์ช ที่ 3 ในปี 1944 และหลังจากที่ย้ายไปที่อื่น สถานที่นี้ก็ยังคงได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว นาย มาร์ช เคยให้ความเห็นครั้งหนึ่งว่า ศิลปะ เป็นรูปแบบที่ถูกกฎหมายของการเสียสติ และผมทำมันออกมาได้ดีทีเดียว

รถยนต์ของที่นี่ถูกระบายทับด้วยสีขาวทุกๆปี เพื่อให้พร้อมที่จะให้นักท่องเที่ยวได้ละเลงฝีแปรง แต่อย่าลืมนำสีของคุณมาด้วย ตรงนี้ไม่มีร้านขายสีนะจ๊ะ



Citroën 2CV by Andy Saunders


รถ 2CV คันนี้เป็นของคุณ Andy Saunders ที่สร้างขึ้นต่อหน้าของ ปิกัสโซ เลยทีเดียว มันสามารถขับออกมาบนถนนได้อย่างถูกกฎหมาย และสวยน่ามองทีเดียว

แต่เราคิดว่าจะมีปัญหาอยู่เล็กน้อย อาจจะเป็นเพราะว่าคนที่พบเห็นมัน อาจจะคิดว่ารถคันนี้ประสบอุบัติเหตุมา ก็เป็นได้



Audi RS4 by Romero Britto
ศิลปินชาวบราซิล Britto ได้แปลงกายรถแสนบ้าคันนี้ให้เป็นรถที่เป็นมิตรสุดๆ และเหมือนกับรถเด็กๆ

แต่ลองมาจินตนาการถึงรถแสนสุข ที่มีใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มตลอดเวลา ที่มีความแรง 7,000 รอบต่อนาที และเครื่องยนต์ขนาด V8 … ตอนนี้มันก็คงจะไม่ค่อยเป็นมิตรซะแล้ว คุณว่าไม๊?



BMW 320i by Roy Lichtenstein


ผลงานของคุณ Lichtenstein สำหรับหนังสือการ์ตูนของเขานั้น มีสไตล์และเฉียบแหลมมากที่เดียว และรถ BMW คันนี้ก็สามารถตอบคำถามได้ว่าเพราะอะไร

มันอาจจะสีเหลืองมากไปหน่อยสำหรับใครบางคน แต่มันก็อยู่ที่นั่นอย่างสง่างาม มันเพียงต้องการคำอุทานดังๆเท่านั้น เพื่อให้มันสมบูรณ์แบบ



Aston Martin One-77 by Aston Martin


รถยนต์ที่แรงสุดๆแบบนี้มีเพียง 77 คันเท่านั้น ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 220 ไมล์ต่อชั่วโมง

อย่างไรก็ตาม มีเรื่องเล่าว่า มหาเศรษฐีคนหนึ่งได้สั่งรถแบบนี้ไปคันหนึ่งแล้ว และสั่งซื้อคันที่ 2 … คันแรก เพื่อใช้ขับบนถนน และอีกคันหนึ่งเอาไว้โชว์ในห้องนั่งเล่น

Citroën Survolt by Francoise Nielly


รถคันนี้ถูกออกแบบเพื่อให้สามารถนำไปโชว์ได้อย่างสง่างามที่ที่โชว์รูมของ ซีตรอง ในกรุงปารีสบนถนน C42 แน่นอนค่ะ รถ Survolt คันนี้ดูเตะตาดีจริงๆ

คุณ Nielly ต้องการให้รถแข่งคันนี้มีสีสันจัดจ้านมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยการมีแนวทางในการใช้สีสะท้องแสงที่ตัดกัน


MINI Countryman by Francisco Costa


Francisco Costa แห่ง Calvin Klein's ได้เคลือบรถ Countryman คันนี้ด้วยสีดำสนิท ทำให้มันเป็นรถที่มองแล้วน่ากลัวมากทีเดียว

รถคันนี้ได้รับการออกแบบเพื่อการประมูลที่งาน Life Ball เพื่อหารายได้ช่วยโรคเอดส์ และสามารถหารายได้ถึง 40,000 ยูโร

น่าประทับใจจริงๆกับศิลปะที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจ ในรูปแบบที่ไม่ค่อยมีให้เห็นนัก :)