13 กุมภาพันธ์ 2554

Across The Universe

Across The Universe
รักนี้..คือทุกสิ่ง แรงบันดาลใจจากบทเพลงของวง The Beatles



แรงบันดาลใจ..ที่อยากให้ทุกคนได้สัมผัสกับหนังรักอลังการงานสร้างที่พลาดไม่ได้ สำหรับคนที่ต้องการแรงบันดาลใจดีๆ คนที่มีความฝัน และความหวัง แนะนำให้ดูค่ะ เป็นหนังที่เรียกว่าถ้าได้ดูแล้ว ดูอีกกี่รอบก็ไม่เคยเบื่อเลย บทเพลงเพราะๆของวง the beatles จะพาคุณเพลิดเพลินไปกับภาพและเรื่องราวของเหล่าคนที่มีความฝัน [และที่สำคัญนะค่ะ พระเอกนางเอกของเรื่องนี้ น่ารักสุดๆ^^]




     Across The Universe หนังรักเพลงสี่เต่าทอง (The Beatles) แปลกแหวกแนวกว่าหนังรักทั่วไป แถมยังเป็นอะไรที่อาร์ตสุดๆ มีความเป็นศิลปะอยู่สูงมาก และการแสดงที่เหนือชั้นของทีมแดนเซอร์ แต่ละฉากออกแบบมาได้อลังการงานสร้าง หนังกล่าวถึงความรักของคู่หนุ่มสาวที่พบรักกัน โดยที่ Jude (Jim Sturgess) มาไกลจากอังกฤษได้มาพบรักกับ Lucy (Evan Rachel Wood) ใน New York ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาของการต่อต้านสงครามเวียดนามของชาวอเมริกา นั่นทำให้ความรักเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคม และทำให้มิตรภาพของเพื่อนๆต้องพลัดพรากจากกันไปคนละทวีป และทุกสิ่งที่จะทำให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ก็คือ ความรัก เท่านั้น




    Across The Universe ได้ผู้กำกับหญิง Julie Taymor ซึ่งเคยกำกับหนังรางวัลออสการ์มาแล้วอย่าง Frida เมื่อปี 2002 ที่ผ่านมา หนังเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเพลงของวง The Beatles ล้วนๆ หนังใช้เพลงของ The Beatles กว่า 31 เพลง เช่น All My Loving, Let it Be, Hey Jude นำมาใช้แทนบทสนทนาและความคิดต่างๆที่ตัวละครต้องการสื่อออกมา เพลงต่างๆใช้เพื่อบรรยายบรรยากาศของสังคมยุคนั้นๆ เรื่องนี้ก็ทำออกมาได้แปลก และมีความเป็นศิลปะในตีวสูง การเปรียบเทียบสิ่งต่างๆ การเล่นสีภาพที่ไม่เหมือนใคร และการใส่เพลงลงไปตามช่วงเวลาต่างๆของหนังได้ลงตัว




   ดูแล้วทำให้เรานึกอะไรไปได้ต่างๆนานา ไม่มีสิ่งตายตัว ไม่มีการชี้นำว่าสิ่งที่ต้องการบอกแน่ชัดคืออะไร เพราะมันเป็นศิลปะที่ค่อนข้างลึกซึ้งในการตีความหมายออกมา เพื่อให้คนดูได้ปลดปล่อยจินตนาการของตัวเองออกมาได้มากที่สุด อีกทั้งหนังยังสะท้อนถึงสังคมในยุคที่ประชาชนอเมริกันต่อต้านสงครามเวียดนาม ไม่ว่าจะเป็นนักอุดมคติ หรือศิลปินต่างๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อบุคคลรอบข้าง ทำให้เป็นอุปสรรคต่อความรักของหลายๆคู่ซึ่งมีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องของอุดมคติส่วนตัว ประเด็นความรักในเรื่องที่ดูธรรมดาๆของคู่หนุ่มสาว
 
แต่มีการนำเสนอออกมาในรูปแบบของศิลปะ และแทรกด้วยประเด็นทางประวัติศาสตร์สังคมในยุค 60's ของอเมริกา อีกทั้งยังได้ดาราดังมาร่วมสร้างสีสันอย่าง Salma Hayek, Bono จากวง U2 มาร่วมแสดงอีกด้วย ทำให้ Across The Universe เป็นภาพยนตร์รักแปลกแหวกแนวที่ควรค่าแก่การชมอย่างยิ่งครับ (สำหรับคนรัก The Beatles เลยล่ะ)



ตัวอย่างภาพยนตร์เรื่อง Across The Universe 1


ตัวอย่างภาพยนตร์เรื่อง Across The Universe 2






     ใครมีโอกาสได้ไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว ก็ต้องประทับใจกันถ้วนหน้า แม้ว่าจะฉายจำกัดโรง แต่หนังปลุกผีเพลง Beatles เรื่องนี้ก็เรียกคนดูได้แน่นโรงอย่างไม่น่าเชื่อ ที่เรียกว่าเป็นหนังปลุกผีเพลง Beatles ก็เพราะ Across the universe หรือ ชื่อภาษาไทยสุดขัดหู “รักนี้คือทุกสิ่ง” ใช้บทเพลงของ The Beatles ในการดำเนินเรื่องทั้งเรื่อง ประหนึ่งเป็นละครเพลง หรือละครเวทีผ่านจอเงิน


   อัลบั้มประกอบภาพยนตร์ชุดนี้ใช้ตัวแสดงจริงร้องเองเยอะทีเดียว นักแสดงบางคนเป็นนักร้องนักดนตรีอยู่แล้ว ทั้งซุปเปอร์สตาร์มหานักบุญอย่าง(ท่านSir.)Bono แห่ง U2 หรือที่ชื่อเสียงธรรมดาน้อยแต่มากความสามารถอย่าง Dana Fuchs และมือกีตาร์ Martin Luther McCoy และชื่อของตัวละครก็มีที่มาจากเพลง The Beatles เช่นกัน เช่น พระเอกของเรื่อง Jude(เพลง Hey Jude) หรือ นางเอก Lucy (Lucy in the sky with diamond)

   อัลบั้มนี้ประกอบด้วย 2 ซีดี รวมทั้งหมด 31 เพลง ซึ่งแทบจะเรียงลำดับเพลงตามเนื้อเรื่องในหนังเลย ซึ่งเป็นเพลงของ The Beatles ทั้งหมด บางเพลงก็เหมือนต้นฉบับเด๊ะ บางเพลงก็ตัดตอนดัดแปลงเอาตามความเหมาะสม เพลงเด่นๆ ก็เช่น All my loving ที่ได้หนุ่มผู้ดีพระเอกของเรื่อง Jim Sturgess มาขับสำเนียงอังกฤษแท้ๆ ที่ตานี่ร้องเพลงดีทีเดียว แถมหน้าตาก็ไปทางนักร้องจากฝั่งอังกฤษนั่นแหละ และยังได้ฝากเสียงร้องไว้ใน I’ve just seen your face , Some thing , Revolution รวมทั้งเพลงที่มีชื่อเป็น Title หนังอย่าง Across the universe ซึ่งในเวอร์ชั่นนี้ทั้งเครื่องสาย และเสียงประสานมาประกอบได้อย่างสุดเยี่ยม ส่วน นางเอกของเรื่อง อย่าง Evan Rachel Wood ก็ได้ฝากเสียงไว้ในเพลงจังหวะสนุกๆอย่าง It won’t be long หรือเพลงช้าสะเทือนอารมณ์อย่าง Blackbird ที่ถ่ายทอดน้ำเสียงออกมาได้ไม่แพ้นักร้องอาชีพ และยังมี Helter Skelter ที่ได้นักร้องอินดี้เสียงห้าวอย่าง Dana Fuchs มาตะเบ็งได้อย่างเมามัน ตามด้วยเพลงช้าในจังหวะเกือบจะบลูส์ ใน Oh! Darling ที่ได้มือกีตาร์ในเรื่องซึ่งจริงๆก็เป็นมือกีตาร์โซล บลูอย่าง Martin Luther McCoy มาช่วยเสริม ตามด้วยเพลงปลุกเร้าอย่าง Come together ที่ได้ลุง Joe Cocker มาทำหน้าที่กระบอกเสียง และ Happiness with a warm gun ที่ได้ Salma Hayek มาช่วยร้องประสาน! หรือจะเป็นเพลงของ The Beatles ที่บ้านเรารู้จักกันดีอย่า I wanna hold your hand ที่มาในเวอร์ชั่นเหงาเศร้าโดย T.V. Caprio นักแสดงอีกหนึ่งคนในเรื่อง ผู้รับบท Prudence ที่มีชื่อมาจากเพลง Dear Prudence ซึ่งร้องได้ไพเราะมาก



  เพลงเด่นๆที่น่าฟังมากๆในอัลบั้มนี้เห็นจะเป็น Let it be โดยสาวผิวสี Carol Wood ที่ใช้ประกอบฉากที่มีสงครามกลางเมืองและมีเด็กผิวสีถูกยิงตาย อธิบายความหมายของภาพกับเพลงได้เป็นหนึ่งเดียว ทำออกมาในเวอร์ชั่น Gospel ที่ฟังโดยไม่ดูหนังก็หลั่งน้ำตาได้ และ Hey Jude ที่ร้องโดย Joe Anderson (รับบทเพื่อนสนิทของพระเอกในเรื่อง จริงๆเป็นคนอังกฤษแต่รับบทอมเริกัน)ร้องได้ดีมาก จนแทบจะลืมเวอร์ชั่นเก่าและได้ร้องสำเนียงสุดอังกฤษใน Strawberry field forever ด้วย สุดท้ายลืมไม่ได้คือท่านเซอร์ Bono(ผู้ไม่ยอมให้เรียกเซอร์ทั้งที่ได้เครื่องราชย์)ทีฝากเสียงร้องไว้ได้เยี่ยม(พอๆกับที่ได้แสดงในหนังด้วย)ใน I am the walrus และ เพลงปิดหนังสุดเจ๋งอย่าง Lucy in the sky with diamond เพลงทั้งหมดนั้นฟังผ่านก็เพราะแล้ว ยิ่งบ่มกับการดูหนังมาแล้ว เพลงยิ่งรสเข้มกว่าเดิมอย่างบอกไม่ถูก

หลังจากหนังจบและเพลงผ่านหู บทเพลงของ The Beatles ได้แสดงให้คนยุคนี้เห็นว่า ในยุคหนึ่งมีเสรีชนที่กล้าที่จะออกมาเรียกร้องถึงสันติภาพ(แม้มันจะไม่เคยมีอยู่จริง) การประณามสงครามและความอยุติธรรมในยุคนั้นเป็นหน้าที่ของคนทุกหมู่ที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันไม่ยอมก้มหัวต่อการกดขี่(ในยุคนี้ทุกคนเหมือนขยะซึ่งกันและกัน) เหล่าวีรบุรุษผู้ใช้บทเพลงเป็นสื่อต่อต้านสงคราม ในยุคของฮิปปี้และกัญชา บทเพลงเหล่านั้นแฝงด้วยจิตวิญญาณและยังคงก้องอยู่เพื่อปลุกจิตใจเสรีซึ่งมีในชนทุกเหล่าให้ตื่นขึ้นมาเรียกร้องหาสันติภาพกันต่อไป ขอคารวะหนังเรื่องนี้ และ The Beatles ด้วยใจ ♥



ไม่มีความคิดเห็น: